คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1584/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ที่อ้างสิทธิตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 จำต้องแสดงให้เห็นว่าที่ดินนั้นเป็นที่บ้านที่สวนตามความหมายในกฎหมายบทนั้น ถ้าไม่มีข้อเท็จจริงให้เห็นได้ว่าเป็นที่บ้านที่สวนมาก่อน ประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว ก็จำต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันว่าด้วยที่ดินมือเปล่า
การที่จำเลยร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิจารณากรณีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินว่าโจทก์บุกรุกแย่งการครอบครองที่ดินมือเปล่านั้น ไม่ทำให้การครอบครองของโจทก์สะดุดหยุดลง ฉะนั้น หากจำเลยมิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองเสียภายใน 1 ปี จำเลยก็ย่อมหมดสิทธิเรียกร้องคืนแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ โจทก์กับนายจำเนียรจับจองโก่นสร้างที่ดินรกร้างว่างเปล่าหนึ่งแปลง เนื้อที่ ๔๗ ไร่ ปลูกต้นผลไม้และบ้านพัก นายจำเนียรตาย โจทก์ครอบครองที่ดินติดต่อมา ๑๐ ปีเศษ แล้ว จึงได้สิทธิครอบครองเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๒ จำเลยซึ่งไม่เคยครอบครองที่พิพาทได้ยื่นเรื่องราวต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอออกโฉนด โจทก์คัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินสั่งให้โจทก์นำคดีมาฟ้อง จึงขอศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครอง ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยและสามีตั้งแต่ก่อน พ.ศ.๒๔๖๓ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕-๒๔๙๖ นายจำเนียรบุกรุกทำลายต้นไม้ที่จำเลยปลูก และสร้างโรงเรือนขึ้น จำเลยห้ามปราม และร้องเรียนต่อคณะกรรมการสำรวจออกโฉนดที่ดิน เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘ ในที่สุดทางราชการสั่งไล่เจ้าพนักงานทุจริตออกจากราชการและสลักหลังใบเหยียบย่ำที่สอดให้นายจำเนียรว่าเป็นใบเหยียบย่ำที่ไม่ชอบจำเลยไม่เคยละทิ้งการครอบครอง โจทก์หรือนายจำเนียรเข้าครอบครองมายังไม่ถึง ๑๐ ปี ขอให้ยกฟ้อง
คู่ความรับกันว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า ไม่มีโฉนดหนังสือสำคัญสำหรับที่
ศาลจังหวัดตาก เห็นว่า จำเลยมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าโจทก์ แม้นายจำเนียรและพวกจะบุกรุกที่พิพาท แต่จำเลยกลัวอิทธิพลนายจำเนียรไม่กล้าเข้าทำประโยชน์ ทั้งระหว่างนั้น จำเลยกำลังรอฟังผลของคณะกรรมการอยู่ ถือเป็นเหตุชั่วคราวมาขัดขวางมิให้จำเลยยึดถือทรัพย์พิพาท การครอบครองของจำเลยหาสิ้นสุดไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๗ พิพากษาว่า จำเลยเป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่พิพาท ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยถูกฝ่ายโจทก์แย่งการครอบครองเกิน ๑ ปี ย่อมหมดสิทธิที่จะฟ้องเรียกคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ โจทก์มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย พิพากษากลับ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องที่พิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าที่พิพาทเป็นที่บ้าน ที่สวน ตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ ๔๒ ต้องครอบครองปรปักษ์ ๙-๑๐ ปี จึงจะได้กรรมสิทธิ์นั้น เห็นว่า ที่ดินดังกล่าวจะต้องมีสภาพเป็นที่บ้านที่สวนมาก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่ง และ พาณิชย์ แต่คดีนี้ไม่มีประเด็นกล่าวถึงเลยว่า ที่พิพาทมีสภาพเป็นที่บ้านที่สวนมาแต่เมื่อใด คำให้การของจำเลยก็มิได้กล่าวยืนยันว่าที่พิพาทมีสภาพเป็นที่บ้านที่สวนมาตั้งแต่เมื่อใด คงได้ความเพียงว่าที่พิพาทตกเป็นของจำเลยมาก่อน พ.ศ.๒๘๖๓ ได้ครอบครองตลอดมาจน พ.ศ.๒๔๘๕ พยานหลักฐานในสำนวนก็ได้ความว่า พ.ศ.๒๔๙๓ ที่พิพาทมีสภาพเป็นป่าไม้เบญจพรรณ มีฎีกาที่ ๘๘+/๒๔๙๔ และ ๕/๒๔๙๕ วินิจฉัยทำนองเดียวกันว่า บุคคลจะอ้างสิทธิตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ ๔๒ จำต้องแสดงให้เห็นว่าที่ดินนั้นเป็นที่บ้านที่สวน ตามความหมายในกฎหมายบทนั้น ถ้าไม่มีข้อเท็จจริงให้เห็นได้ว่าเป็นที่บ้านที่สวนมาก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว ศาลก็จำต้องบังคับไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันว่าด้วยที่ดินมือเปล่าเมื่อที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าและจำเลยถูกแบ่งการครอบครองมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๕ แต่จำเลยมิได้ฟ้องเพื่อเอาคืน ซึ่งการครอบครองภายใน ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ จำเลยก็ย่อมหมดสิทธิเรียกร้องคืนแล้ว
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิจารณากรณีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินและรอฟังผลอยู่ แสดงว่าจำเลยไม่ได้สละเจตนาครอบครอง ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นนี้มิได้อยู่ที่ว่าจำเลยสละการครอบครองหรือไม่ มีประเด็นเพียงว่า จำเลยได้ถูกแย่งการครอบครองก็ ไม่ถือว่าเป็นการแย่งการครอบครอง เพราะเมื่อทรัพย์ถูกสละละทิ้งก็ไม่มีเจ้าของ ไม่ต้องแย่งจากใคร ส่วนการแย่งนั้นหมายถึงว่าแย่งจากเจ้าของ แม้เจ้าของจะยังหวงแหนอยู่ ยังไม่สละ แต่เมื่อปล่อยให้เขาแย่งการครอบครอง จะเรียกเอาคืนก็ต้องฟ้องเรียกคืนภายใน ๑ ปี ตามกำหนดเวลาที่บัญญัติไว้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๗๕ มิฉะนั้น หมดสิทธิเรียกร้อง การที่จำเลยไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิจารณากรณีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้น ไม่ทำให้การครอบครองของโจทก์สะดุดลง เพราะจำเลยมิได้ฟ้องต่อศาลภายใน ๑ ปี
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๘๒/๒๔๙๐ ฯลฯ
พิพากษายืน

Share