คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 764/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เช่าที่ดินเขาแล้วปลูกอู่ซ่อมรถยนต์ลงในที่เช่านั้นโดยข้อสัญญาว่า ผู้เช่าจะรักษาที่เช่าทุกส่วนให้เรียบร้อยจนกว่าค่าเช่าจะออกจากที่เช่าหรือหมดอายุสัญญาเช่าต้องเลิกกันเพราะผิดสัญญา ผู้เช่าจะรื้อถอนอู่ซ่อมรถยนต์ที่ปลูกไว้มิได้ ต้องปล่อยให้ตกเป็นของผู้ให้เช่าโดยไม่เรียกร้องเอาค่าอะไรจากผู้ให้เช่า และสัญญาเช่ารายนี้ก็เป็นสัญญาเฉพาะตัวผู้เช่ากับบริวารเท่านั้นมีสิทธิจะอยู่ได้ จะให้ผู้อื่นเช่าช่วงหรือให้ผู้อื่นเข้าอยู่แทนเช่นให้อาศัยก็ไม่ได้ ฉะนั้นเมื่ออู่รถยนต์นี้ทุกเจ้าหนี้ของผู้เช่ายึดทรัพย์บังคับคดีตามคำพิพากษา ก็เป็นอันว่าผู้เช่าต้องออกจากทรัพย์ที่เช่านี้โดยปริยายตามอำนาจของการยึดทรัพย์ ฉะนั้นอู่รถยนต์นี้ก็ต้องตกเป็นกรรมสิทธิของผู้ให้เช่าคือเจ้าของที่ดินตามข้อสัญญา คดีจึงตกอยู่ในบังคับตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 285(2) กล่าวคือเป็นทรัพย์สินที่โอนกันไม่ได้ หรือไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ศาลต้องสั่งถอนการยึดอู่รถยนต์รายนี้

ย่อยาว

คดีนี้ เนื่องมาจากศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยไม่ชำระ โจทก์นำยึดอู่รถยนต์หรือโรงซ่อมรถยนต์ ๑ หลัง โดยประมาณราคไว้หนึ่งหมื่นบาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า อู่รถยนต์รายนี้ปลูกอยู่ในที่ดินของผู้ร้องถือกรรมสิทธิร่วมกับนางเสาวณี แขมมนีบุตร โดยจำเลยและนายประทีป ประดิษฐบาทุกา ร่วมกันเช่ามีกำหนด ๗ ปี ได้จดทะเบียนการเช่าไว้แล้ว ตามสัญญาเช่ามีข้อความสำคัญว่า ผู้เช่าจะก่อสร้างโรงเรือนลงในที่ดินนี้ ยอมให้ตกเป็นของผู้ให้เช่า โดยไม่เรียกร้องอะไรจากผู้ให้เช่า ฉะนั้นอู่รถยนต์ที่โจทก์นำยึดจึงตกเป็นของผู้ร้องและนางเสาวณี ขอให้ถอนการยึด
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามสัญญาเช่าข้อ ๒-๓ -๔ สิ่งปลูกสร้างในที่เช่าจะตกเป็นของผู้ให้เช่าในเมื่อผู้เช่าออกไปจากที่เช่า หรือสัญญาเช่าหมดอายุแล้ว เวลานี้สัญญาเช่ายังไม่หมดอายุ โรงซ่อมรถยนต์ที่ยึดปลูกลงโดยได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่า จึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน จึงให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องเสีย
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามสัญญาเช่ามีข้อความแสดงว่าโรงซ่อมรถยนต์นี้ยังเป็นกรรมสิทธิของจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าอยู่ สัญญาเช่ายังไม่สิ้นอายุ จึงพิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า คดีนี้เป็นที่รับกันว่าจำเลยได้ปลูกอู่ซ่อมรถยนต์ลงในที่เช่าเสร็จแล้ว จำเลยมีหน้าที่ตามสัญญาข้อ ๒(ข) ที่จะรักษาที่เช่าทุกส่วนให้เรียบร้อยจนกว่าจำเลยจะออกจากที่เช่าหรือหมดอายุสัญญาเช่าหรือผิดสัญญาก่อนจำเลยออกจากที่เช่าหรือก่อนหมดอายุสัญญาเช่า หรือสัญญาเช่าต้องเลิกกันเพราะผิดสัญญา จำเลยจะรื้อถอนอู่ซ่อมรถยนต์นี้มิได้ต้องปล่อยให้ตกเป็นของผู้ให้เช่าโดยไม่เรียกร้องเอาค่าอะไรจากผู้ให้เช่า และสัญญาเช่ารายนี้ก็เป็นสัญญาเฉพาะตัว จำเลยกับบริวารเท่านั้นมีสิทธิจะอยู่ได้ จะให้ผู้อื่นเช่าช่วงหรือให้ผู้อื่นเข้าอยู่แทนเช่นให้อาศัยก็ไม่ได้ เช่นเดียวกัน อันการยึดทรัพย์บังคับคดีตามคำพิพากษานั้นตาม ก.ม.ต้องถือว่าตัวทรัพย์อยู่ในพันธะที่จะต้องชำระหนี้ ซึ่งอย่างน้อยจำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะครอบครองทรัพย์ที่ถูกยึดต่อไป เป็นอันจำเลยต้องออกจากทรัพย์ที่เช่าโดยปริยายตามอำนาจของการยึดทรัพย์ ฉะนั้นอู่ซ่อมรถยนต์รายนี้ก็ต้องตกเป็นกรรมสิทธิของผู้ร้องตามข้อสัญญา คดีตกอยู่ในบังคับตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๒๘๕(๒) กล่าวคือเป็นทรัพย์สินที่โอนกันไม่ได้ หรือไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีของโจทก์
จึงพิพากษากลับ ให้ถอนการยึดอู่ซ่อมรถยนต์รายพิพาทเสีย

Share