คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2816/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีที่รถเก๋งที่จำเลยที่ 1 ขับเฉี่ยวชนกับรถยนต์บรรทุกหกล้อที่จำเลยที่ 2 ขับสวนทางกัน รถทั้งสองคันได้รับความเสียหายแม้ว่าความเสียหายนั้นจะมิได้เกิดขึ้นเพราะความผิดของจำเลยที่ 2 ก็ตาม ก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นแล้ว เมื่อจำเลยที่ 2 หลบหนี ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควร ทั้งไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที เป็นการไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายบังคับไว้ จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78 วรรคหนึ่ง ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 160 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๑) (๒) (๔) , ๗๘ , ๑๕๗ , ๑๖๐ วรรคหนึ่ง และวรรคสาม
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ ๑ และจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยอัยการพิเศษประจำเขต ๒ ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษากลับว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๘ วรรคหนึ่ง , ๑๖๐ วรรคหนึ่ง ปรับ ๒,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงปรับไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ , ๓๐
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๒ ประการเดียวว่า การกระทำของจำเลยที่ ๒ เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๘ วรรคหนึ่ง ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา ๑๖๐ วรรคหนึ่ง ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษาหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ใดขับรถหรือขี่หรือควบคุมสัตว์ในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่หรือผู้ขี่หรือควบคุมสัตว์หรือไม่ก็ตาม ต้องหยุดรถ หรือสัตว์ และให้ความช่วยเหลือตามสมควร และพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที กับต้องแจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล และที่อยู่ของตน และหมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้ได้รับความเสียหายด้วย” จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพตามฟ้องที่ว่า รถยนต์เก๋งที่จำเลยที่ ๑ ขับเฉี่ยวชนกับรถยนต์บรรทุกหกล้อที่จำเลยที่ ๒ ขับสวนทางกัน รถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย ดังนั้น แม้ว่าความเสียหายจะมิได้เกิดเพราะความผิดของจำเลยที่ ๒ ก็ตาม ต้องถือว่าจำเลยที่ ๒ ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นแล้ว การที่จำเลยที่ ๒ หลบหนี ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควร ทั้งไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที เป็นการไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายบังคับไว้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษาว่าจำเลยที่ ๒ มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๘ วรรคหนึ่ง ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา ๑๖๐ วรรคหนึ่ง จึงชอบแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ ๒ อ้างมาในฎีกานั้นข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share