แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเอาสินค้าจากร้านบิดาของโจทก์ไป โดยโจทก์รับผิดชอบชำระราคาแทน ทั้งนี้ โดยจำเลยทำหลักฐานให้โจทก ์ไว้ว่า จะนำข้าเปลือกเหนียวชำระให้โจทก์แทนค่าสินค้า แม้ราคาข้าวจะขึ้นลงอย่างไรก็ตาม ดังนี้ แม้จำนวนและราคาข้าวจะเกินราคาสิ่งของมากไป เพียงใดก็ตาม ก็เป็นเรื่องผูกพันชำระหนี้กันตามสัญญานั้น ไม่ใช่เรื่องกู้ยืมเงิน หรือซื้อเชื่อข้าว จึงไม่ตกอยู่ในบังคับประกาศห้ามตกข้าวแก่ชาวนา จ.ศ. 1239 พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3, 4 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเอาสินค้าจากร้านบิดาของโจทก์ไปราคา ๓,๒๑๔ บาท โดยโจทก์รับผิดชอบชำระราคาแทน ทั้งนี้ โดยจำเลยจะต้องนำข้าวเปลือกเหนียวมาชำระให้โจทก์แทนค่าสินค้าที่โจทก์ชำระไป แต่จำเลยก็ไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า ซื้อสินค้าไปจริงแต่ไม่ตกลงชำระเป็นข้าว เป็นการซื้อเชื่อธรรมดา ซึ่งจำเลยส่งเงินไป ๓๑๔๐๐ บาทชำระให้โจทก์แล้ว
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยซื้อเชื่อสินค้าไป และทำหลักฐานให้โจทก์ไว้ว่า จะชำระข้าวเปลือกเหนียวให้โจทก์จริง เงินที่จำเลยส่งไปให้โจทก์มิใช่ชำระหนี้รายที่ฟ้อง จึงพิพากษาให้จำเลยส่งข้าวเปลือกเหนียว ๘,๔๘๔ กิโลกรัมให้โจทก์ ถ้าไม่อาจส่งได้ ก็ให้จำเลยชำระเงิน ๖,๗๘๔.๒๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามประกาศห้ามตกข้าวแก่ชาวนา จ.ศ. ๑๒๓๙ บัญญัติว่า ฯลฯ ตั้งแต่วันที่ได้ออกหมายประกาศนี้แล้ว สืบต่อไปห้ามมิให้แต่บรรดาที่มีทุนรอนมาก ออกเงินตกทอดข้าวแก่ราษฎรที่ทำนานั้น ถ้าราษฎรผู้ที่ทำนาจะขัดสนไปกู้ยืมเงินแก่ท่านผู้ใด รับสัญญาว่าจะใช้ข้าวแทนต้นเงินและดอกเบี้ยก็ดี หรือจะซื้อข้าวเชื่อกันก็ดี เมื่อเวลาที่จะส่งข้าวแทนต้นเงินหรือแทนดอกเบี้ยนั้น ให้คิดตามราคามที่ราษฎรซื้อแก่ดันตามในเวลาที่จะใช้ข้าวให้แก่กันนั้น และเงินดอกเบี้ยนั้นให้คิดแต่เพียงชั่งละบาท ฯลฯ ประกอบกับ พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓, ๔ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๖ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าสัญญาจะใช้ข้าวเปลือกนี้จะใช้ถ้อยคำอย่างใดก็ดี ย่อมฟังได้เท่ากับว่า จำเลยได้ยืมเงินโจทก์ใช้ให้บิดาโจทก์เป็นค่าซื้อของไป แล้วสัญญาใช้ให้โจทก์เป็นข้าวเปลือกเกินราคาเงิน ขัดกับกฎหมายที่กล่าวข้างต้น เงินที่โจทก์รับจากจำเลย ๓,๔๐๐ บาท ก็มากกว่า หนี้เดิมอยู่ ไม่ชอบที่จะเรียกร้องให้จำเลยชำระอีก พิพากษากลับยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทำเอกสารให้โจทก์ไว้ว่า ได้รับของไปจากร้านบิดาของโจทก์เป็นเงิน ๓,๒๑๔ บาท ่แต่จะจ่ายข้าวเปลือกให้ ๗๐๗ หมื่น (หมื่นละ ๑๒ กิโลกรัม) แม้ว่าราคาข้าวจะขึ้นลงก็ตาม ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ ตามคำให้การแก้คดีของจำเลย ๆ ก็ให้การว่า ได้ซื้อเชื่อสินค้าต่าง ๆ ไปจากร้านของโจทก์ ราคา ๓,๒๑๔ บาทจริง โดยตกลงจะชำระราคากันเป็นเงินภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ ศาลฎีกาไม่เห็นมีทางที่จะบิดผันสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยให้เป็นสัญญากู้ยืมเงินไปดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่า จำเลยทำเอกสารดังกล่าว โดยมีข้อความว่าจำเลยตกลงชำระหนี้เป็นข้าวเปลือกจริง ซึ่งในชั้นฎีกานี้ จำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งความข้อนี้อย่างใด จำเลยก็ต้องผูกพันชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญานั้น ที่ศาลอุทธรณ์อ้างประกาศห้ามตกข้าวแก่ชาวนา, พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๖ มาวินิจฉัยยก้ฟองโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อกรณีนี้ไม่ใช่กู้ยืมเงินกันดังได้วินิจฉัยแล้ว ทั้งไม่ใช่กรณีซื้อเชื่อข้าว จึงไม่มีทางที่จะนำบทกฎหมายดังกล่าวนั้นมาปรับแก่กรณีนี้
พิพากษากลับ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการ