แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เป็นหุ้นส่วน ฟ้องผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกันขอให้เลิกห้างหุ้นส่วนและให้ชำระบัญชี ในระหว่างพิจารณา โจทก์ร้องขอให้ศาลสั่งกำหนดวิธีการคุ้มครองโดยให้โจทก์จำเลยประมูลการเก็บผลประโยชน์ระหว่างความ หรือเอาเงินทางต่อศาลเป็นกองกลาง ฯลฯ ดังนี้ ถือว่า เป็นเรื่องขอให้ศาลคุ้มครองตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 25,264 ศาลย่อมมีอำนาจที่จะสั่งให้จัดการนำผลประโยชน์จากทรัพย์รายพิพาทที่จะเกิดขึ้นมามอบไว้ต่อศาลในระหว่างคดีได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยขอเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญและขอให้ดำเนินการชำระบัญชี ในระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องว่าทรัพย์สินรายที่โจทก์ฟ้องมีราคามาก ผลประโยชน์เป็นตัวเงินที่จะพึงเก็บได้จากค่าเช่าตลอดจนเงินค่ากินเปล่าจากทรัพย์รายนี้มีจำนวนมาก จำเลยเป็นผู้รับและเก็บประโยชน์แต่ฝ่ายเดียว จำเลยอาจยักย้ายถ่ายเทปกปิดซ่อนเร้นให้พ้นอำนาจศาลเสียได้ จึงขอให้ศาลสั่งกำหนดวิธีการคุ้มครองโดยให้โจทก์จำเลยประมูลการเก็บผลประโยชน์ระหว่างความหรือเอาเงินวางต่อศาลเป็นกองกลาง หรือตั้งเจ้าหน้าที่ของศาลหรือของคู่ความร่วมกันเก็บผลประโยชน์เอาเงินมอบไว้ที่ศาล
ศาลชั้นต้นฟังคำแถลงของคู่ความสองฝ่ายแล้ว มีคำสั่งว่ามีเหตุผลสมควรที่ศาลจะคุ้มครองผลประโยชน์จากทรัพย์สินที่พิพาทในระหว่างคดี จึงสั่งให้จัดการนำผลประโยชน์จากทรัพย์รายพิพาทที่จะเกิดขึ้นมามอบไว้ที่ศาลในระหว่างคดี ส่วนวิธีการที่จะดำเนินต่อไป ให้เรียกคู่ความมาตกลงกัน ซึ่งศาลจะสั่งต่อไป
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งคัดค้าน
ในวันที่ศาลนับคู่ความมาตกลงกันนั้น จำเลยขอวางเงินที่ศาลเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท แทนผลประโยชน์ที่จะเกิดจากทรัพย์รายพิพาท แต่มิให้ถือว่าเป็นผลประโยชน์ที่เก็บไว้จริง จำนวนที่เก็บได้จริงเป็นเรื่องที่ผู้ชำระบัญชีจะจัดการต่อไป โจทก์ยอมตามนั้น ศาลจึงสั่งให้ใช้วิธีการนี้ดำเนินการต่อไป
จำเลยได้แถลงการว่า ในการนี้จำเลยต้องเสียหาย ศาลควรเรียกให้โจทก์วางประกันค่าเสียหายในการคุ้มครองนี้ด้วย ศาลชั้นต้นสั่งว่าเดิมมิได้โต้เถียงกันและศาลออกคำสั่งไปแล้วจะเพิ่มเติมหรือแก้ไขคำสั่งเดิมไม่ได้
จำเลยจึงยื่นอุทธรณ์อีกฉะบับหนึ่งคัดค้านคำสั่งศาลที่ไม่สั่งให้โจทก์วางเงินประกัน
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า อุทธรณ์ฉะบับแรก เป็นเรื่องศาลออกคำสั่งให้คุ้มครองตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๒๕,๒๖๔ จึงอยู่ในอำนาจศาลโดยชอบ ไม่ใช่สั่งตามมาตรา ๒๕๔ ดังข้ออุทธรณ์
ส่วนอุทธรณ์ฉะบับที่ ๒ เห็นว่าเกี่ยวกับดุลยพินิจของศาล จึงพิพากษายืน
จำเลยฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาข้อแรกที่ว่า ศาลไม่ควรมีคำสั่งให้มีการคุ้มครองนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกา
ส่วนฎีกาที่ว่า ศาลจะสั่งให้มีการคุ้มครองตามมาตรา ๒๕,๒๖๔ ไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีเรื่องนี้เป็นเรื่องโจทก์ขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งกำหนด วิธีการเพื่อคุ้มครอง ตามมาตรา ๒๖๔ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาชอบแล้ว
ฎีกาข้อสุดท้ายเกี่ยวกับอุทธรณ์ฉะบับที่ ๒ นั้นปรากฎว่าจำเลยเป็นแต่แถลงด้วยวาจาต่อศาลว่า ศาลควรเรียกให้โจทก์วางประกันค่าเสียหายของฝ่ายจำเลยด้วย จำเลยมิได้มีคำขอขึ้นมาให้ถูกต้อง คำแถลงของจำเลยในเรื่องที่กล่าวขึ้นมาลอย ๆ เท่านั้น ฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืน