คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1161/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ลูกความทำสัญญากับบุตรของทนายผู้ว่าคดีให้ว่า ถ้าความที่จะฎีกานั้นชะนะก็จะให้ที่นาพิพาททั้งหมดนั้นแก่บุตรของทนาย แต่บุตรทนายความต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการฎีกาดังนี้ ถือได้ว่าบุตรของทนายออกเงินให้เขาเพื่อเป็นความเกี่ยวกับนาพิพาทโดยหวังจะได้ที่นาพิพาทเป็นสิทธิของตน เป็นสัญญาให้ได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการเป็นความ จึงเป็นโมฆะตามป.พ.พ.มาตรา 113
ทำสัญญายกที่ดินให้แก่เขา แม้สัญญายกให้นั้นจะเป็นโมฆะเนื่องจากขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนเด็ดขาดแล้ว ก็ย่อมถือได้ว่าผู้ให้ได้เจตนาสละสิทธิครอบครองที่นั้น

ย่อยาว

คดี ๒ สำนวนนี้เป็นกรณีเรื่องเดียวกัน ศาลรวมพิจารณาพิพากษาคราวเดียวกัน
สำนวนแรกหลวงสรรพนิตินิพัทธ์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนายเรืองโดยอ้างว่า ให้คนทำนาของนายพิริยะบุตรชายจำเลยกับพวกบุกรุกเข้ามาแย่งทำ
นายเรืองให้การและฟ้องแย้งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยขอให้ห้ามมิให้โจทก์เกี่ยวข้อง
นายพิริยะร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความว่านายเรืองทำสัญญายกที่พิพาทให้ผู้ร้อง ๆ ให้นายเรืองอาศัยทำแล้ว กลับแย่งหลวงสรรพนิตินิพัทธ์ ขอให้ขับไล่และห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้อง
นายเรืองปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญายกให้ ต่อมานายเรืองเป็นโจทก์ฟ้องหลวงสรรพนิตินิพัทธ์และนายพิริยะ ขอให้เพิกถอนสัญญาที่นายพิริยะอ้าง
ข้อเท็จจริงได้ความว่าเดิมนายหล้อมฟ้องนายเรืองขับไล่ออกจากที่นา หลวงสรรพนิตินิพัทธ์เป็นทนายให้นายเรืองคดีถึงที่สุดชั้นฎีกานายเรืองชะนะ แล้วนายเรืองฟ้องขอแบ่งมรดกที่บ้านและที่นาแปลงนี้อีก หลวงสรรพนิตินิพัทธ์เป็นทนายให้คดีหลังนี้นายเรืองแพ้ชั้นศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ นายเรืองไม่ประสงค์จะฎีกาโดยกลัวแพ้ หลวงสรรพนิติพัทธ์แนะนำให้ฎีกานายเรืองจึงตกลงกับนายพิริยะและทำสัญญาหมาย ล.๑ ไว้ว่า ถ้าความชะนะให้ที่นายพิพาททั้งหมดแก่นายพิริยะ ๆ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย เมื่อฎีกาตกมาได้มีการประมูลทรัพย์ระหว่างนายเรืองกับนายหล้อม นายเรืองประมูลได้ หลวงสรรพนิตินิพัทธ์จึงเอาเงินของนายพิริยะไปวาง ที่นาแปลงนี้จึงได้แก่นายพิริยะตามข้อตกลงแต่ให้นายเรืองทำนาต่อไปโดยส่งข้าวให้นายพิริยะปีละ ๔๐๐ เลียง ต่อมานายเรืองฟ้องนายหล้อมทั้งทางอาญาและแพ่ง และยังมีคดีแพ่งอีกหลายเรื่องที่นาพิริยะเป็นผู้ออกเงินให้นายเรืองทุกคดี
ศาลชั้นต้นเห็นว่าเมื่อยังไม่มีการจดทะเบียนการโอน นายเรืองก็ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์นาพิพาทอยู่ จึงพิพากษาว่านาพิพาทเป็นของนายเรือง ห้ามฝ่ายหลวงสรรพนิตินิพัทธ์นายพิริยะมิให้เข้าเกี่ยวข้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงได้ความดังกล่าวแล้ว พฤติการณ์เช่นนี้แม้จะปลงใจเชื่อว่าหลวงสรรพนิตินิพัทธ์ไม่ได้รับประโยชน์อันเกี่ยวกับสัญญาหมาย ล.๑ ล.๒ ก็ตาม การที่นายพิริยะตกลงกับนายเรืองออกเงินให้นายเรืองเพื่อเป็นความเกี่ยวแก่ที่นาพิพาท โดยหวังจะได้นาที่พิพาทเป็นสิทธิของตน อันเป็นสัญญาให้ได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการเป็นความ ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญาเช่นนี้ตกเป็นโมฆะ แต่ปรากฎว่าเมื่อทำสัญญาหมาย ล.๒ แล้วนายเรืองได้เจตนาสละสิทธิครอบครองที่พิพาทให้เป็นของนายพิริยะ ๆ ย่อมได้สิทธิครอบครองที่พิพาทนี้ นายเรืองมาทำละเมิดข้อตกลงโดยไปแย่งหลวงสรรพนิตินิพัทธ์ทำนารายนี้ นายเรืองจึงต้องรับผิด
พิพากษากลับว่า นายพิริยะได้สิทธิครอบครองที่พิพาท ให้ขับไล่นายเรืองกับบริวารมิให้เข้าเกี่ยวข้อง

Share