คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1446/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยทำผิดกฎหมาย โดย ก. มีน้ำสุราเถื่อน ข. มีลูกแป้งเชื้อสุราเถื่อนโดยมิได้รับอนุญาต ค. มีหมักส่าเชื้อสุราเถื่อนโดยมิได้รับอนุญาต ง. มีเครื่องต้มกลั่นสุราไว้โดยมิได้รับอนุญาต จำเลยรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้ ต้องถือว่าฟ้องข้อ ง. จำเลยรับว่า มีเครื่องต้มกลั่นไว้สำหรับต้มกลั่น สุราเถื่อน ลงโทษจำเลยตามมาตรา 38 พ.ร.บ. ภาษีชั้นในได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องหาว่า เมื่อคืนวันที่ ๓ เมษายน ๒๔๙๑ จำเลยได้ลักทรัพย์ของนางสาคร และนายจำปาไป ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๙๖ จำเลยปฏิเสธ นายจำปาขอเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงทางพิจารณาต่างกับฟ้อง พิพากษายกฟ้อง โดยไม่ได้อาศัยข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นชี้ขาดข้อเท็จจริง แล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า พะยานโจทก์ทุกคนเบิกความว่า เกิดเหตุวันแรม ๙ ค่ำ เดือน ๔ เวลาประมาณ ๕ นาฬิกา และ นายเถาพะยานโจทก์เบิกความต่อไปว่า รุ่งจากคืนเกิดเหตุเป็นวันแรม ๑๐ ค่ำ ซึ่งตรงกับวันที่ ๓ เมษายน และท้ายฟ้องโจทก์กล่าวว่า จำเลยกระทำผิดในตอนกลางคืน ตอนต้นของวันที่ ๓ เมษายน ซึ่งนับจากเวลา ๐๐.๐๐ นาฬิกามาจนเวลารุ่งเช้าเพราะเวลานั้นเป็นเวลากลางคืนตามกฎหมาย ฉะนั้นตามที่โจทก์หาว่าจำเลยทำผิดในวันที่ ๓ เมษายน ๒๔๙๑ เวลากลางคืนนั้น หาแตกต่างกับคำพะยานไม่
พิพากษายืน.

Share