คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 801/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่จำเลยเป้นคนสัญชาติไทย กระทำผิดฐานปล้นทรัพย์นอกราชอาณาจักร ซึ่งผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษจำเลยภายในราชอาณาจักร ต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 8 นั้น โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องนำสืบแสดงว่าไม่มีข้อห้ามมีให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 10 อีก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก ๒ คนสมคบกันชิงทรัพย์ของบริษัทไทยยงพาณิชย์ซึ่งนายกรี เจียกเจิม เป็นผู้จัดการอยู่ในความดูแลรักษาของนายสมชาย แดงเผือกไป ๑๖,๔๔๐ บาท ได้ใช้ปืนขู่จะยิง และใช้ไม้ฆ้อนตีนายน้อย พันทะนี ใช้หมัดทำร้ายเด็กชายป๊อด พันทะนี ใช้เชือกมัดนายน้อย นายบุญเลี้ยง และใช้อาวุธปืนยิง เหตุเกิดที่ตำบลหัวเชียง อำเภอเมืองเวียงจันทน์ จังหวัดเวียงจันทน์ประเทศลาว เจ้าทรัพย์ได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานเพื่อขอให้ว่ากล่าวเอาโทษแก่จำเลยแล้ว ศาลในประเทศทีจำเลยไปกระทำผิดไม่ได้มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ปล่อยตัวจำเลยหรือพิพากษาให้ลงโทษและจำเลยได้พ้นโทษไปแล้ว พนักงานสอบสวนอำเภอเมืองหนองคายโดยอนุมัติจากอธิบดีกรมอัยการได้ทำการสอบสวนแล้ว ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๐,๓๔๐ ให้คืนหรือใช้ทรัพย์ที่ยังไม่ด้คืนด้วย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยกระทำผิดจริง พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๔ จำคุกไว้คนละ ๒๐ ปี ให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๓,๓๕๐ บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความแตกต่างกัน ตกอยู่ในฐานสงสัย จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาเห็นว่า คำเบิกความของพยานโจทก์ที่แตกต่างกันไม่ใช่ข้อสำคัญ ไม่มีข้อส่งสัยอย่างใดว่าพยานจะไม่ได้เห็นคนร้าย พยานฐานที่อยู่ของนายกองจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ คดีนี้จำเลยเป็นคนสัญชาติไทยและผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ ศาลฎีกาประชุมใหญ่มีมติว่า คดีต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘ ซึ่งจำเลยจะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักรโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องแสดงว่าไม่มีข้อห้ามมีให้ลงโทษตามมาตรา ๑๐ เพราะจำเลยไม่ได้โต้เถียงและคดีก็ไม่ได้ความว่ามีข้อห้ามมิให้ลงโทษจำเลยเช่นนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายกองจำเลยมา
พิพากษาแก้ ให้บังคัดคดีสำหรับตัวนายกองจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการ

Share