คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1342/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นโดยประมาทเลินเล่อของโจทก์จำเลยด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้ว กฎหมายให้ศาลเป็นผู้กำหนดค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายตามส่วนโดยอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณว่า ความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร
ในการคำนวณค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนี้นั้น ให้เอาค่าเสียหายของทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยมารวมกัน แล้วแย่งส่วนความรับผิดในค่าเสียหายตามส่วนที่ศาลเห็นว่าความเสียหายนั้นเกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายเล็กผู้ขับรถยนต์บรรทุกไม้ของโจทก์จะไปจังหวัดพระนครมีรถบรรทุกอีกคันหนึ่งวิ่งสวนทางมา รถโจทก์หรี่ไฟวิ่งชิดขอบถนนด้านซ้ายจึงได้ชนรถของจำเลยซึ่งบรรทุกเสาจอดอยู่ โดยมิได้เปิดไฟท้ายรถไว้ เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ผู้ขับรถยนต์โจทก์มองไม่เห็นรถจำเลยในระยะพอสมควร เพิ่มเห็นในระยะใกล้มาก พยายามห้ามล้อเพื่อหลีกเลี่ยง การชนจนเต็มความสามารถ แต่รถไม่อาจหยุดได้ โจทก์เสียค่าซ่อมรถ ค่าทำศพและค่าทำขวัญให้แก่บุตรภริยาคนประจำรถ ค่ายารักษาบาดแผลคนประจำรถรวมทั้งการขาดประโยชน์ในการมิได้รถในระหว่างทำการซ่อม และเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงคนขับ คนประจำรถ รวมทั้งสิ้น ๓๔,๗๒๕.๓๐ บาท กับดอกเบี้ยในจำนวนเงินนี้นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำชำระเสร็จ
จำเลยให้การต่อสู้และฟ้องแย้งว่า นายสุดใจเช่ารถของจำเลยคันที่ถูกชนไปบรรทุกไม้ คืนเกิดเหตุ นายเปรื่องขับรถของจำเลยมาจอดรับประทานอาหาร นายเล็กคนขับรถโจทก์ขับรถยนต์โจทก์มาตามทางการที่จ้าง มาด้วยความเร็วเกินขนาดปราศจากความระมัดระวัง มองเห็นรถของจำเลยจอดอยู่ข้างหน้า จึงขับรถชิดถนนด้านขวา เพื่อหลีกรถจำเลย พอดีมีรถยนต์สวนทางมาในระยะใกล้ จะชนรถโจทก์ นายเล็กหักพวกมาลัยหลบมาทางซ้ายด้วยความเร็ว รถโจทก์จึงชนท้ายรถจำเลยเสียหาย อันเกิดจากความประมาทเลินเล่อ ของคนขับรถโจทก์ คนขับรถจำเลยไม่ได้ประมาทเลินเล่อ ค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องเกินสมควร จำเลยไม่ต้องรับผิด ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม การที่รถโจทก์ชนรถจำเลยโดยความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างโจทก์ตามทางการที่จ้าง ทำให้จำเลยเสียหาย เช่น ค่าซ่อมรถ ขาดประโยชน์ไม่ได้ค่าเช่ารถระหว่างซ่อม จำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์ใช้ค่าเสียหาย ๑๙,๓๐๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ๑/๒ นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า คนขับรถเป็นลูกจ้างจำเลยประมาทเลินเล่อ จอดรถไม่เปิดไปท้าย คนขับรถโจทก์มองไม่เห็นจึงขับชนท้ายรถจำเลย รถยนต์จำเลยไม่มีเสียหาย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม กับไม่เชื่อว่าขณะเกิดเหตุนายสุดใจเช่ารถจำเลยไป และฟังข้อเท็จจริงว่า รถจำเลยจอดโดยไม่มีไฟท้าย หากมีไฟท้ายรถก็จะไม่ชนกัน นับว่าคนขับรถจำเลยประมาทเลินเล่อ จำเลยต้องรับผิด พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๑๒,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ๑/๒ ต่อไป นับแต่วันฟ้องจนกว่า จะชำระเสร็จและยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้ง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้ไฟท้ายรถจำเลยจะดังในขณะจอดรถอยู่ ก็มีแสงตะเกียงเจ้าพายุจุดอยู่ในร้านอาหารส่องถึงถนนที่รถจำเลยจอด การที่นายเล็กหักรถโจทก์หลบไม่พ้นก็ไม่ปรากฎว่านายเล็กได้เหยียบห้ามล้อ แสดงว่านายเล็กขับรถเร็วมากในเวลากลางคืน การที่รถจำเลยจอดไม่มีไฟท้าย จะถือว่าคนขับรถจำเลยประมาทยังไม่ได้ จึงฟังว่านายเล็กคนขับรถโจทก์ประมาทเลินเล่อฝ่ายเดียว โจทก์ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้งเป็นเงิน ๑๑,๓๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย ร้อยละ ๗ ๑/๒ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า คนขับรถโจทก์ประมาทเลินเล่อ โดยมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร โจทก์ต้องรับผิดในการละเมิดนี้ และข้อเท็จจริงก็ได้ความด้วยว่ารถจำเลยจอดและถูกชนนั้น รถจำเลยก็ไม่มีไฟท้าย อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายการจราจรเรื่องขับขี่ใช้รถในเวลากลางคืน จึงนับว่าเหตุที่รถโจทก์ชนรถจำเลยนั้น ฝ่ายจำเลยก็มีส่วนร่วมก่อให้เกิดผลที่เป็นเหตุให้เกิดชนกันขึ้นเหมือนกัน โดยเฉพาะรถฝ่ายจำเลยบรรทุกเสายาวยื่นไปท้ายรถมาก ฝ่ายจำเลยควรระมัดระวังมีไฟท้ายยิ่งกว่ารถธรรมดา จำเลยต้องมีส่วนร่วมรับผิดในการละเมิดที่เกิดความเสียหายขึ้นด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๔๒ ประกอบกับมาตรา ๒๒๓
คดีนี้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เสียหายเป็นเงิน ๑๒,๕๐๐ บาท ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฝ่ายจำเลยเสียหาย ๑๑,๓๐๐ บาท ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นพ้องด้วยจำนวนค่าเสียหายดั่งที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา ศาลฎีกาพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ที่แต่ละฝ่ายมีส่วนร่วมในการก่อให้เกิดความเสียหายแล้ว เห็นว่าควรนำค่าเสียหายของทั้งสองฝ่ายมารวมกันเป็นเงิน ๒๓,๘๓๐ บาท แล้วให้ฝ่ายโจทก์ซึ่งมีส่วนผิดมากรับผิด ๒ ใน ๓ ส่วน เป็นเงิน ๑๕,๘๘๖.๖๖ บาท ฝ่ายจำเลยมีส่วนผิดน้อย รับผิด ๑ ใน ๓ เป็นเงิน ๗,๙๔๓.๓๓ บาท ฉะนั้น ฝ่ายโจทก์จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายจำเลยเป็นเงิน ๓,๓๕๖.๖๖ บาท ส่วนโจทก์ต้องรับผิดเกินกว่าค่าเสียหายของตนอยู่แล้ว ค่าเสียหายของโจทก์จึงให้เป็นพับไป พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้โจทก์ชดใช้ค่าสินใหมทดแทนแก่จำเลย ๓,๓๕๖.๖๖ บาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง ๓ ศาลให้รวมกัน แล้วให้โจทก์รับผิด ๒ ใน ๓ ส่วน จำเลยรับผิด ๑ ใน ๓ ส่วน ค่าทนายให้เป็นพับ นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share