แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยสมคบกันใช้บังคับขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม ให้พยานเบิกความเท็จนั้น ไม่เป็นฟ้องที่ขัดกัน ไม่ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ และไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ในเมื่อเป็นการบรรยายรายละเอียดการกระทำทั้งหลายที่จำเลยได้กระทำรวมกันไป
พยานเบิกความว่า จำหน้าคนร้ายไม่ได้ และศาลได้พิพากษายกฟ้องเพราะเหตุนี้ ข้อความที่พยานเบิกความนั้น จึงเป็นข้อสำคัญในคดี
ในการจ้างวานและยุยงให้พยานเบิกความเท็จต่อศาลนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยพูดกับพยานว่าเรื่องนี้ไม่ต้องกลัว เพราะได้ให้พนักงานอัยการ 500 บาท แล้ว เมื่อโจทก์นำสืบกลับสืบว่า ได้ให้ 800 บาท เช่นนี้ เป็นเรื่องพยานโจทก์เบิกความไม่ตรงในรายละเอียดเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่ข้อสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องมีใจความว่า จำเลยสมคบกันใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริมให้นายนวลกับนายทองดีซึ่งเป็นพยานโจทก์ในคดีอาญาของศาลมณฑทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดอุดรธานี) เบิกความเท็จในข้อสำคัญ โดยจะให้เงินนายนวล นายทองดีคนละ ๑๕๐๐ บาท และจำเลยบอกว่าเรื่องนี้ไม่ต้องกลัวเพราะได้ให้พนักงานอัยการ ๕,๐๐๐ บาท และผู้บังคับกองสถานีตำรวจ ๓,๐๐๐ บาทแล้ว ต่อมานายนวลได้เบิกความต่อศาลเป็นเหตุให้ศาลพิพากษายกฟ้องจำเลยในคดีนั้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗,๑๘๑,๑๘๔,๘๓และ ๘๔
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗,๑๘๑ (๑),๘๓,๘๔ จำคุกคนละ ๖ เดือน ข้อหาตามมาตรา ๑๘๔ ให้ยก
จำเลยทั้ง ๔ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๔ ฎีกาว่า ฟ้องเคลือบคลุม ข้อความที่นายนวลเบิกความต่อศาลไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี และทางพิจารณาต่างกับฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ข้อหาของโจทก์ที่ว่าจำเลยใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม แต่ละข้อแตกต่างขัดกันในตัว จำเลยไม่สามารถทราบข้อหาและต่อสู้คดีได้นั้น ศาลพิเคราะห์เห็นว่า ที่โจทก์บรรยายการกระทำของจำเลยหลายประการรวมกัยมานั้นเป็นการบรรยายรายละเอียดการกระทำทั้งหลายที่จำเลยได้กระทำซึ่งมีทั้งการยุยงส่งเสริม ใช้ จ้างวาน และบังคับขู่เข็ญรวมกันไป หาขัดกันไม่ ไม่ทำให้จำเลยหลงต่อสู้ ฟ้องไม่เคลือบคลุม
ฎีกาจำเลยที่ว่า ข้อความที่นายนวลเบิกความไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องในคดีนั้นโดยยกเหตุว่า นายนวลเบิกความว่าจำหน้าคนร้ายไม่ได้ ฉะนั้น ข้อความที่นายนวลเบิกความจึงเป็นข้อสำคัญในคดี
ส่วนจำเลยฎีกาว่า โจทก์ บรรยายฟ้องว่า จำเลยให้เงินพนักงานอัยการ ๕,๐๐๐ บาท แต่กลับนำสืบว่าให้ ๘,๐๐๐ บาท ข้อเท็จจริงทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง ควรยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์เห็นว่า กรณีเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องแต่เป็นเรื่องพยานโจทก์เบิกความไม่ตรงในรายละเอียดเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่ข้อสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๔๒
พิพากษายืน