แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นของ ค. ค.ตายที่พิพาทเป็นมรดกตกได้แก่ โจทก์ผู้เป็นภริยาและบุตรของ ค. ขอให้แบ่งตามส่วน จำเลยให้การต่อสู้ว่ายายจำเลยยกที่พิพาทให้ ค. ต่อมา ค. ยกให้จำเลย (ผู้เป็นบุตรของ ค. เกิดแต่ภรรยาอีกคนหนึ่ง) ตั้งแต่ ค. ยังมีชีวิตอยู่ ศาลกะประเด็นนำสืบว่า ที่พิพาทนี้ ค. ได้ยกให้จำเลยตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่ ดังนี้ ศาลก็ชอบที่จะสืบพยานตามประเด็นข้อพิพาท และพิจารณาชี้ขาดตัดสินไปตามนั้น ที่จะไปฟังตามคำพยานจำเลยว่ายายจำเลยมิได้เจตนายกที่ให้ ค. ค.ปกครองที่พิพาทโดยมิได้เจตนาหกครองเป็นเจ้าของ แต่เป็นการปกครองแทนจำเลยนั้น ย่อมเป็นการขัดแย้งกับคำของจำเลย และเป็นเรื่องนอกประเด็น
โจทก์เป็นภริยาของผู้ตายก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ไม่ปรากฏว่าฝ่ายใดมีสินเดิม โจทก์จึงมีสิทธิได้รับสินสมรส 1 ใน 3 กับมีสิทธิได้ส่วนแบ่งจากส่วนที่เป้นมรดกของผู้ตายด้วย รวมเป็นเนื้อที่ 13 ไร่เศษ แต่โจทก์ได้ใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทมาเพียง 11 ไร่ นอกนั้นจำเลยเป็นฝ่ายครอบครอง ที่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อเจ้ามรดกตายแล้วเกินกว่า 1 ปี ที่มรดกนอกจากที่โจทก์ได้ครอบครองมาย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาของนายดอน ผาสุข ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕-๖ นายดอนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๒๓๒๒ ร่วมกับผู้อื่นอีก ๔ คน ส่วนของนายดอนมีอยู่ ๑ ใน ๕ เป็นเนื้อที่ ๓๑ ไร่ ๓ งาน ๑๕ ตารางวา ที่ส่วนนี้โจทก์กับบุตรได้ทำนาและปลูกบ้านอยู่ นังแต่ได้กรรมสิทธิ์มาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๔ นายดอนถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๑ เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๐๒ จำเลยซึ่งเป็นบุตรนายดอนเกิดแต่นางแพภริยาคนหลัง ได้ไปขอรับมรดกนายดอนแต่ผู้เดียวเจ้าพนักงานหลงเชื่อได้โอนที่ดินให้จำเลยโดยโจทก์และทายาทอื่นไม่ทราบ เมื่อประมาณ ๑๐ วันมานี้ (ฟ้อง ๒๙ มิถุนายน ๒๕๐๔) จำเลยไม่ยอมให้โจทก์กับบุตรทำนาจึงขอให้จำเลยแบ่งที่ดินเฉพาะส่วนของนายดอนในที่ดินโฉนดที่ ๒๓๒๒ ซึ่งเป็นส่วนได้ของโจทก์ให้โจทก์ ๑๘ ไร่ ๖๕ ตารางวา หากไม่สามารถแบ่งได้ก็ขอให้ขายทอดตลาดแบ่งเงินให้โจทก์ กับให้ใช้ค่าเสียหายจนกว่าโจทก์จะได้รับส่วนแบ่ง
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามโฉนดนี้เฉพาะส่วนของจำเลยมีกรรมสิทธิ์อยู่ ๕๐ ไร่ ได้ทำกินมา ๑๐ กว่าปีแล้ว ที่ส่วนนี้นางสวาดยายจำเลยแบ่งยกให้นายดอนเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๔ เนื้อที่ ๕๐ ไร่ โดยมีหนังสือยกให้และแก้ทะเบียนกรรมสิทธิ์เมื่อนายดอนยังมีชีวิตอยู่ นายดอนได้ยกให้จำเลยกับพี่อีก ๒ คน นายดอนตายแล้วพี่จำเลยมอบกรรมสิทธิ์ให้จำเลย จำเลยมาขอรับมรดกแก้ทะเบียนกรรมสิทธิ์ในโฉนดโดยไม่เคยปิดบังความจริง โจทก์อาศัยอยู่ในที่ดินจริง แต่ไม่เคยทำนาดังกล่าว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะเจ้ามรดกตายเกิน ๑ ปีแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นางสวาดเจ้าของเดิมประสงค์จะยกนาพิพาทให้แก่จำเลยกับพี่อีก ๒ คน แต่คนเหล่านั้นยังเป็นเด็ก จึงยกให้นายดอน โดยให้นายดอนทำสัญญาไว้ว่าจะไม่โอนให้แก่ผู้อื่นนอกจากเด็กทั้งสาม และเมื่อนายดอนตายก็ให้ตกได้แก่เด็กทั้งสามนั้น แล้วนายดอนก็ปกครองที่พิพาทแทนจำเลยกับพวกตามความประสงค์ของนางสวาดมากว่า ๑๐ ปีแล้ว นาพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยกับพวก ไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนายดอนอันจะต้องมาแบ่งปันกัน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าที่พิพาทเป็นของนายดอน นายดอนตายตกเป็นมรดกได้แก่โจทก์ผู้เป็นภรรยาและบุตรนายดอน โจทก์ขอแบ่งตามส่วน ตามโฉนดปรากฏว่านายดอนได้มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับคนอื่นโดยนางสวาดและนายบุญเกิดยกให้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๔ จำเลยให้+ยกต่อสู้ว่า ที่พิพาทนี้นางสวาดยกให้นายดอน ต่อมานายดอนยกให้แก่ตนตั้งแต่นายดอนยังมีชีวิตอยู่ จำเลยได้ครอบครองมากว่า ๑๐ ปีแล้ว เป็นประเด็นข้อพิพาท ตามคำให้การนี้จำเลยมิได้ต่อสู้ว่านางสวาดยกให้ตนและให้นายดอนครอบครองแทน ศาลชั้นต้นก็ได้กะประเด็นนำสืบว่า ที่พิพาทนี้นายดอน ผาสุขได้ยกให้จำเลยตั้งแต่นายดอนยังมีชีวิตอยู่ แล้วจำเลยครอบครองเป็นเจ้าของมากว่า ๑๐ ปี ส่วนโจทก์เข้าอยู่ในฐานะผู้อาศัยจริงหรือไม่
เมื่อศาลได้กะประเด็นข้อพิพาทไว้ดังนี้ ศาลก็ชอบที่จะสืบพยานตามประเด็นในข้อพิพาทและพิจารณาชี้ขาดตัดสินไปตามนั้น ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๓ และ ๑๘๕
คดีได้ความว่า จำเลยยอมรับนับถือว่านายดอนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อนายดอนมีชีวิตอยู่นั้น นายดอนมิได้ยกที่พิพาทให้แก่จำเลย เมื่อจำเลยไปขอรับมรดกก็ปิดบังความจริงว่านายดอนไม่มีลูกเมีย และได้ความว่าโจทก์ครอบครองทำนาพิพาทเรื่อยมา ที่ศาลล่างฟังคำพยานจำเลยว่านางสวาดมิได้เจตนายกที่ให้นายดอน นายดอนปกครองที่พิพาทโดยมิได้มีเจตนาเป็นเจ้าของ แต่เป็นการปกครองแทนจำเลยนั้น เป็นการขัดแย้งกับคำของจำเลยและเป็นเรื่องนอกประเด็นเพราะจำเลยมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้
เมื่อนายดอนได้ที่พิพาทมาในระหว่างที่โจทก์กับนายดอนเป็นสามีภริยากัน ที่ดินรายนี้จึงเป็นสินสมรส โจทก์เป็นภริยาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ จึงมีสิทธิได้รับสินสมรส ๑ ใน ๓ เป็นเนื้อที่ ๑๐ ไร่เศษ กับได้ส่วนแบ่งในส่วนที่เป็นมรดกอีก ๓ ไร่เศษ (นายดอนมีบุตรรวมทั้งจำเลยด้วยเป็น ๖ คน แบ่งมรดกเป็น ๗ ส่วนทั้งส่วนของโจทก์) รวมส่วนได้ขอโจทก์ทั้ง ๑๓ ไร่เศษ แต่ปรากฏว่าโจทก์ใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทมามีจำนวนเพียง ๑๑ ไร่ นอกนั้นฝ่ายจำเลยครอบครองโจทก์ฟ้องคดีเมื่อนายดอนตายมาแล้วเกิน ๑ ปี ที่มรดกนอกจากที่โจทก์ได้ครอบครองจึงขาดอายุความตามมาตรา ๑๗๕๔ โจทก์คงได้เท่าที่ตนครอบครองอยู่
พิพากษากลับ ให้จำเลยแบ่งที่ดินส่วนของนายดอนให้แก่โจทก์เท่าที่โจทก์ครอบครองอยู่ ๑๑ ไร่ ถ้าการแบ่งไม่ตกลงกัน ก็ให้ขายโดยประมูลราคาระหว่างโจทก์จำเลย ถ้ายังตกลงกันไม่ได้อีก ก็ให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วน กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายโจทก์ด้วย.