คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 215/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ คือให้จำเลยโอนที่ดินสวนยางให้แก่โจทก์คดีถึงที่สุดแล้ว ภายหลังเจ้าพนักงานที่ดินไม่ยอมทำโอนให้เพราะโจทก์เป็นคนต่างด้าว หามีสิทธิ์ที่จะได้ที่ดินสวนยางตามจำนวน ที่กล่าวนั้นตาม พ.ร.บ.ที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว 2486 โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินให้จัดการโอนให้โจทก์ตามคำพิพากษาดังนี้ โจทก์มีหน้าที่ต้องแสดงว่าโจทก์มีสิทธิ์ที่จะซื้อได้ตามกฎหมาย เมื่อศาลเห็นสมควรจึงจะแจ้งไปยังพนักงานที่ดินต่อไป เมื่อโจทก์ไม่แสดงและปรากฎว่าโจทก์ไม่มีอำนาจจะซื้อที่ดินเท่าจำนวนนั้น โดยกฎหมายห้ามไว้ชัดแจ้ง ศาลก็ย่อมสั่งยกคำร้องของโจทก์เสียได้ ไม่ถือว่าเป็นการขัดแย้งกับคำพิพากษา
ผู้ครอบครองที่ดินอยู่ก่อนใช้ พ.ร.บ.ที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว พ.ศ. 2486 และยังได้ขอจดทะเบียนสิทธิ์การได้มาซึ่งที่ดินนั้นตามพ.ร.บ.ดังกล่าวนั้นด้วย เมื่อปรากฎว่าเป็นแต่เพียงครอบครองในฐานะเป็นผู้จะซื้อตามสัญญาจะซื้อขายเท่านั้น จะถือว่าผู้นั้นเป็นเจ้าของที่นั้นหรือได้มาซึ่งที่นั้นโดยชอบตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว 2486 ยังไม่ได้ การที่เจ้าพนักงานรับคำขอจดทะเบียนให้ ไม่ได้หมายความว่าโจทก์มีสิทธิ์หรือกรรมสิทธิ์ในที่นั้นจริง โจทก์จะมีสิทธิ์หรือกรรมสิทธิ์อย่างไรย่อมเป็นไปตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์จำเลยต่างพิพาทกันเรื่องที่ดินสวนยางแปลงหนึ่ง เนื้อที่ประมาณ ๓๔๐ ไร่ ที่อำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา แล้วต่อมาทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ คือให้จำเลยโอนขายที่พิพาทให้โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้วแต่พนักงานที่ดินไม่ยอมทำโอนที่พิพาทให้โจทก์เพราะโจทก์เป็นคนต่างด้าว
จำเลยจึงรองขอให้ศาลสั่งว่าสัญญาประนีประนอมที่ทำไว้เป็นโมฆะ
ฝ่ายโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลแจ้งไปยังหอทะเบียนที่ดิน ให้จัดการโอนที่ดินให้โจกท์ตามคำพิพากษา ถ้าจะลงชื่อโจทก์ในการรับโอนเป็นการไม่สดวก โจทก์ก็พร้อมที่จะจัดหาคนไทยมารับโอน
ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว จำเลยไม่มีอำนาจที่จะมาร้องขอให้ศาลสั่งแสดงว่าสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นโมฆะ จึงให้ยกคำร้องของจำเลย
ส่วนคำร้องของโจทก์ ปรากฎว่าเจ้าพนักงานไม่ยอมโอนให้ เพราะโจทก์เป็นคนต่างด้าว ต้องห้ามตามพ.ร.บ.ที่ดินส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๘๖ ที่จะซื้อที่ดินเท่าจำนวนนี้ จึงยกคำร้องเสียเช่นเดียวกัน
โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาเห็นว่าการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความคือให้จำเลยโอนขายที่พิพาทให้โจทก์แล้ว แต่ต่อมาได้สั่งยกคำร้องของโจทก์ที่จะขอให้แจ้งไปยังพนักงานที่ดินเพื่อโอนที่พิพาทให้โจทก์ตามคำพิพากษาเสียนั้น จะถือว่าเป็นการขัดแย้งกับคำพิพากษา ทำให้คำสั่งเป็นโมฆะดังที่โจทก์ฎีกาหาได้ไม่เพราะเมื่อศาลพิพากษาคดีไปอย่างไรแล้ว การที่จะปฏิบัติไปตามคำพิพากษาได้หรือไม่เพียงไรนั้น เป็นอีกส่วนหนึ่งทั้งเรื่องนี้ความจริงศาลชั้นต้นก็หาได้สั่งไม่ให้โอนที่พิพาทตามคำพิพากษาแต่อย่างใดไม่ เป็นแต่กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ขัดข้องอ้างว่าโจทก์เป็นคนต่างด้าว โจทก์จึงมีหน้าทีต้องแสดงว่าโจทก์มีสิทธิ์จะซื้อได้ตามกฎหมาย ศาลเห็นสมควรจะได้แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ต่อไปดังนี้ต่างหาก
ที่พิพาทเป็นสวนยางจัดเป็นที่ดินประกอบเกษตรกรรมมีเนื้อที่ ๒๔๑ ไร่เศษ ตามพ.ร.บ.ที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว ๒๔๘๖ โจทก์หามีสิทธิ์จะได้มาตามจำนวนที่กล่าวนั้นไม่ ส่วนการที่โจทก์ครอบครองในฐานะเป็นผู้จะซื้อตามสัญญาจะซื้อขายเท่านั้น จะถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทหรือได้มาซึ่งที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก่อนวันใช้ พ.ร.บ.ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๐ ยังไม่ได้ การที่เจ้าพนักงานรับคำขอจดทะเบียนสิทธิ์ให้ ไม่ได้หมายความว่าโจทก์มีสิทธิ์หรือกรรมสิทธิ์ในที่นั้นจริง โจทก์จะมีสิทธิ์หรือกรรมสิทธิ์อย่างไรย่อมเป็นไปตามกฎหมาย
สำหรับที่โจทก์อ้างว่าจะจัดหาบุคคลอื่นมารับโอนแทนนั้นเป็นเรื่องนอกเหนือจากที่ประนีประนอมยอมความกันไว้ เมื่อจำเลยคัดค้านก็ไม่มีทางจะจัดการให้ได้ จึงพิพากษายืน

Share