คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยืมเงินโจทก์ไปโดยทำหลักฐานการยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยให้โจทก์ยึดถือไว้ แต่เมื่อโจทก์มาฟ้องให้จำเลยใช้คืนเงินยืมนั้น โจทก์ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมมาแสดงต่อศาล แต่โจทก์ก็นำสืบได้ว่าจำเลยได้ยืมหลักฐานดังกล่าวไปแล้วไม่ส่งคืน ดังนี้ ย่อมรับฟังแทนหนังสือกู้ยืมดังกล่าวนั้นได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยืมเงินโจทก์ไปโดยทำหนังสือยืมให้ไว้เป็นหลักฐาน จำเลยให้การว่าไม่เคยยืมเงินโจทก์และไม่เคยทำหลักฐานการยืมเงินให้โจทก์ โจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งหนี้ ดังนี้ ศาลจะวินิจฉัยว่ากรณีเป็นเรื่องเข้าหุ้นส่วนกันประกอบการค้าไม่ใช่กู้ยืมนั้น หาชอบไม่เพราะไม่มีประเด็นในเรื่องนี้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยืมเงินโจทก์ไปหลายครั้ง รวม ๗๗๙,๕๒๗ บาท ได้ทำหนังสือยืมลงลายมือชื่อจำเลยให้ไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาจำเลยแจ้งว่านายสมชายและนายพินัยกับพวกฉ้อโกงจำเลย จำเลยได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแล้ว ขอหลักฐานการยืมเงินที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้ไปแสดงแก่ตำรวจ โจทก์ได้มอบหลักฐานทั้งหมดให้จำเลยไป จำเลยยังไม่ได้นำมาส่งคืนโจทก์แจ้งตำรวจ ๆ เรียกจำเลยมาสอบถาม จำเลยก็รับว่าเป็นความจริง ได้บันทึกถ้อยคำจำเลยไว้เป็นหลักฐาน นอกจากหนังสือรับสภาพหนี้นี้แล้ว จำเลยยังให้การในชั้นสอบสวนและเบิกความไว้ในคดีแพ่งแดงที่ ๒๕๖/๒๔๙๗ ว่าได้ยืมเงินโจทก์ไปจริง โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยใช้เงิน
จำเลยให้การว่า ไม่เคยยืมเงินโจทก์ ไม่เคยรับเงินที่โจทก์ฟ้อง ไม่เคยนำหลักฐานการยืมเงินให้โจทก์ ไม่เคยให้โจทก์มอบหลักฐานการยืมไปแสดงต่อตำรวจ บันทึกการรับสภาพหนี้จะมีจริงหรือไม่ ไม่รับรอง หากมีอยู่ก็ไม่ใช่นิติกรรมที่โจทก์จำเลยจะใช้ยันกันได้ โจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งหนี้ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นฟังว่าเป็นเรื่องที่โจทก์จำเลยเข้าหุ้นส่วนหาประโยชน์มาแบ่งปันกันไม่ใช่กรณีกู้ยืมดังฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยได้ยืมเงินโจทก์ไป ๗๗๙,๕๒๗ บาท โดยได้ทำหลักฐานการยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยให้โจทก์ยึดถือไว้จริง ตามที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยมาแสดงนั้น โจทก์ก็นำสืบได้ว่าจำเลยได้ยืมหลักฐานดังกล่าวไปแล้วไม่ส่งคืน ซึ่งรับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๓(๒) เมื่อปรากฎว่าจำเลยยังไม่ชำระเงินให้โจทก์ จำเลยก็ต้องชำระในเรื่องที่ดจทก์จำเลยจะประกอบการค้าร่วมกันหรือไม่นั้น โจทก์มิได้กล่าวอ้างและจำเลยก็มิได้ต่อสู้ว่าเงินรายนี้เป็นเงินเข้าหุ้นส่วนกันประกอบการค้า คดีจึงไม่มีประเด็นในเรื่องนี้ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นการเข้าหุ้นส่วนกันประกอบการค้าไม่ใช่กู้ยืมนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์.

Share