คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรมกองต่าง ๆ ซึ่งสังกัดในกระทรวง แม้จะมีการแบ่งแยกงานเป็นสัดส่วนก็ถือว่าเป็นงานของกรมนั้น ๆ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนขับรถยนต์ในราชการของกรมไปรษณีย์โทรเลขจำเลยที่ 2 แม้ในวันเกิดเหตุจะเป็นวันอาทิตย์หยุดราชการก็ตาม หากปรากฎว่าจำเลยที่ 1 ได้นำเอารถยนต์ซึ่งได้รับอนุญาตให้ยืมไปแล้ว ถือได้ว่าเป็นการกระทำในทางการที่จ้าง เมื่อมีการละเมิดเกิดขึ้น จำเลยที่ 2 ก็ต้องรับผิดชอบ
เมื่อโจทก์มีอายุบรรลุนิติภาวะและมีสามีแล้วและไม่ได้ความว่าเป็นผู้ทุพพลภาพ หาเลี้ยงตนเองมิได้ ก็ไม่อยู่ในอำนาจที่ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ได้ค่าสินไหมทดแทนในฐานะต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย

ย่อยาว

เรื่อง ละเมิด เรียกค่าเสียหาย
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนางทองเจือนิลพทธ์ และอยู่บ้านเดียวกัน จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ในหน้าที่พนักงานขับรถยนต์เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์เลขทะเบียน ก.ท.๔๘๔๓ ของจำเลยที่ ๒ ไปรับข้าราชการกรมไปรษณีย์โทรเลขที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ขณะขับขึ้นสพานผ่านฟ้าจำเลยที่ ๑ ได้ขับด้วยความประมาทและด้วยความเร็วสูงแซงขึ้นหน้ารถจักรยานสามล้อโดยปราศจากความระมัดระวัง เป็นเหตุให้รถยนต์ชนนางทองเจือมารดาตาย และชนเด็กหญิงสุมนา เตวิทย์ บาดเจ็บสาหัส การขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ เป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ๆ จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ การตายของนางทองเจือทำให้โจทก์ขาดไร้อุปการะและขาดที่รักเคารพในฐานะที่มารดาและบุตรจะพึงมีต่อกัน และโจทก์ต้องจัดการปลงศพและทำบุญตามประเพณี จึงขอเรียกค่าปลงศ ๕๐,๐๐๐ บาทค่าทำบุญตามประเพณี ๒๐,๐๐๐ บาท ค่าที่โจทก์ขาดไร้อุปการะและขาดที่รักเคารพที่พึงมีต่อกัน ๓๐,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การและเพิ่มเติมคำให้การว่า นางทองเจือผู้ตายมีบุตรหลายคนไม่ทราบว่าโจทก์จะเป็นบุตรจริงหรือไม่ นายศิริ สอนประดิษฐ์ จำเลยที่ ๑ เป็นคนขับรถยนต์ของกรมไปรษณีย์โทรเลขจริง สังกัดกองพัศดุ รถยนต์ ก.ท.๔๘๔๓ เป็นของกองโรงงาน กรมไปรษณีย์ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ไม่มีหน้าที่ราชการต้องขับ ทั้งวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ ตรงกับวันอาทิตย์เป็นวันหยุดราชการจำเลยที่ ๑ นำรถของกองโรงงานไปใช้ โดยปราศจากอำนาจและมิใช่กระทำไปในทางการที่ราชการว่าจ้าง จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิด เดิมนางทองเจือ (ผู้ตาย) มีอาชีพเป็นลูกจ้าง ต่อมาไม่ได้มีอาชีพอย่างใด จึงไม่มีหน้าที่และไม่สามารถจะให้ความอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะเรียกค่าเสียหาย ค่าที่ต้องขาดไร้อุปการะ ค่าทำบุญศพก็ไม่ใช้ค่าสินไหมที่กฎหมายให้เรียกได้ ค่าเสียหายที่เรียกร้องก็ห่างไกลต่อความเป็นจริงเกินไป
ระหว่างพิจารณา นายศิริจำเลยที่ ๑ แถลงว่า คดีอาญาที่ถูกต้องถึงที่สุดแล้ว โดยศาลฝ่ายอาญาพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ กระทำผิดพิพากษาลงโทษจำคุก ๕ ปี (คดีแดงศาลอาญาที่ ๙๖๐/๒๔๙๘) จำเลยที่ ๑ ยอมรับตามฟ้องโจทก์ ไม่คัดค้านเรื่องค่าเสียหายอย่างใด ฝ่ายจำเลยที่ ๒ แถลงว่า ในข้อเท็จจริงเรื่องละเมิดยอมถือตามข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่จำเลยที่ ๑ ถูกฟ้อง ยังต่อสู้ว่า ๑. จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ทำการในทางการที่จ้างในเวลาเกิดเหตุละเมิด ๒. โจทก์ไม่ได้เสียหายตามฟ้อง
ศาลแพ่งวินิจฉัยว่า วันเกิดหตุนายดีถี ศิริวาระ หัวหน้าแผนกจำหน่ายกองพัศดุ ได้นำรถคันที่เกิดเหตุไปต้อนรับหัวหน้ากองพัศดุ ( นายประสินธิ์ สุระสิทธิ์ ) ซึ่งกลับจากไปราชการต่างประเทศที่สนามบินดอนเมือง ตอนขากลับได้เกิดเหตุเป็นรถของกองโรงงานซึ่งนายดิถีได้ยืมต่อหน้าแผนกพาหนะ กองโรงงานซึ่งเป็นผู้มีอำนาจให้นำรถออกใช้ได้ เห็นว่ากองโรงงานและกองพัศดุต่างก็เป็นหน่วยราชการของจำเลยที่ ๒ ผู้ที่ให้รถไปใช้และผู้ที่นำรถไปใช้ต่างก็เป็นคนของจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ก็เป็นคนขับรถของจำเลยที่ ๒ พฤติการณ์ที่จำเลยที่ ๑ และหัวหน้าแผนกต่าง ๆ จัดทำไปนั้นเป็นการกระทำที่ชอบและอยู่ในกรอบแห่งทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ไม่เป็นการนอกเหนือหน้าที่ แม้วันเกิดเหตุจะตรงกับวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดราชการก็ไม่สำคัญ จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิด และเฉพาะจำเลยที่ ๑ รับตามฟ้องทั้งไม่ค้านค่าเสียหาย จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดตามที่รับและที่ฟ้อง แต่คำรับของจำเลยที่ ๑ ยอมไม่ผูกมัดจำเลยที่ ๒
ค่าทำศพเพียงแต่โจทก์มอบเงินให้น้องชายไปจัดการกะให้ ๕,๐๐๐ บาท ค่าจะเผาศพตามฐานะของโจทก์กับผู้ตายเห็นควรให้ ๕,๐๐๐ บาท ค่าอุปการะของผู้ตายอันมีต่อโจทก์ ๒๐,๐๐๐ บาท รวมเป็น ๓๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเห็นควรให้จำเลยที่ ๒ รับผิดร่วมกับ จำเลยที่๑
จึงพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ในจำนวนนี้ให้จำเลยที่ ๒ รับผิดร่วมด้วย ๓๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนาย ๑,๐๐๐ บาทแทนโจทก์
โจทก์และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๒ รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนร่วมกับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าธรรมเนียมฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ของโจทก์ให้เป็นพับ ค่าธรรมเนียมฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ให้โจทก์กับจำเลยที่ ๒ แบ่งกันเสียฝ่ายละครึ่งค่าทนายชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กองพัศดุก็ดี กองโรงงานก็ดี ต่างสังกัดกรมไปรษณีย์โทรเลขผู้เป็นจำเลยที่ ๒ หาได้ไม่
นายศิริจำเลยที่ ๑ เป็นคนขับรถยนต์ในราชการของกรมไปรษณีย์โทรเลขจำเลยที่ ๒ ในวันเกิดเหตุแม้จะเป็นวันอาทิตย์หยุดราชการ แต่ก็ปรากฎว่าวันนั้นเป็นวันที่นายประสิทธิ์ สุระสิทธิ์ หัวหน้ากองพัศดุ กรมไปรษณีย์โทรเลข กลับจากไปราชการต่างประเทศในราชการของจำเลยที่ ๒ นายดิถี หัวหน้าแผนกจำหน่ายกองพัศดุ ได้ยืนรถยนต์จากหัวหน้าแผนกพาหนะ กองโรงงาน ในราชการของกรมไปรษณีย์โทรเลขจำเลยที่ ๒ เพื่อไปรับนายประสิทธิ์ เมื่อได้รับอนุญาตแล้วนายดิถีได้สั่งให้นายสนิท หัวหน้าแผนกยานพาหนะ สั่งให้นายศิริ จำเลยที่ ๑ เอารถยนต์คันที่เกิดเหตุไปรับนายประสิทธิ์ โดยนายดิถีได้ร่วมไปกับรถที่จำเลยที่ ๑ ได้ขับไปด้วย และนอกจากนี้ยังปรากฎอีกว่าสำหรับกองพัศดุ หัวหน้ากองหัวหน้าแผนกจำหน่าย มีอำนาจสั่งรถไปใช้ราชการได้และยังผ่อนผันให้ใช้ในทางส่วนตัวได้ในบางกรณีเกี่ยวกับสวัสดิการ เช่น บวชนาค ทำศพ แต่งงาน จึงฟังได้ว่าการที่จำเลยที่ ๑ พร้อมด้วยข้าราชการผู้อื่นในกรมไปรษณีย์โทรเลขเอารถไปรับนายประสิทธิ์ ซึ่งกลับจากราชการต่างประเทศจึงเป็นไปในทางการที่จ้างจำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดตาม ป.พ.พ.ม.๔๒๕
ปรากฎว่าโจทก์มีอายุบรรลุนิติภาวะและมีสามีแล้ว ตามป.พ.พ.ม. ๔๔๓ วรรค ๓ และ ม.๑๕๓๖ วรรค ๒ นั้น ผู้เป็นมารดาจะต้องอุปการะเลี้ยงดูแต่เฉพาะผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองมิได้เท่านั้น ทางพิจารณาไม่ได้ความว่าโจทก์ผู้เป็นบุตรทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนมิได้กลับได้ความว่าก่อนตาย นางทองเจือผู้เป็นมารดาโจทก์ ได้อยู่กินกับโจทก์จึงไม่อยู่ในอำนาจที่ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ได้ค่าสินไหมทดแทนในฐานะต้องขาดไร้อุปการะได้ตามกฎหมาย จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นต้นไป

Share