คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1648/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์,จำเลยเป็นสามีภรรยากัน แต่มิได้จดทะเบียนสมรส ระหว่างอยู่กินด้วยกัน โจทก์ได้ที่ดินมาจากผู้อื่น และลงชื่อจำเลยซึ่งเป็นภรรยาลงในใบเหยียบย่ำ ตามพฤตติการณ์ โจทก์,จำเลยต่างมีกรรมสิทธิในทรัพย์นั้นร่วมกัน การที่โจทก์ยอมให้จำเลยมีชื่อในใบเหยียบย่ำแต่ผู้เดียว ไม่เป็นข้อแสดงว่าโจทก์สละสิทธิให้จำเลย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์,จำเลยเป็นสามีภรรยากัน แต่มิได้จดทะเบียนสมรส ต่อมาจำเลยมีชู้ โจทก์,จำเลยยอมเลิกเป็นสามีภรรยากัน แต่จำเลยไม่ยอมแบ่งทรัพย์ จึงขอให้ศาลบังคับ จำเลยต่อสู้ว่า ที่นาทุ่งหนองบัวเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งทรัพย์ที่ฟังว่าเป็นของโจทก์,จำเลย ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์,จำเลยอยู่กินฉันท์สามีภรรยา แต่ไม่จดทะเบียนสมรส ระหว่างอยู่กินด้วยกันโจทก์ขอที่ดินที่ได้มาจากนายตันเอี่ยม ๕๐ ไร่ ลงชื่อจำเลยในใบเหยียบย่ำเรียกว่า นาทุ่งหนองบัว ต่อมาได้ขายไปได้เงิน ๑๐๐๐๐ บาท จำเลยเอาเงินขายนานี้มาซื้อนาบ้าง ให้กู้บ้าง
ตามพฤตติการณ์พออนุมานได้ว่า โจทก์,จำเลยต่างมีกรรมสิทธิในทรัพย์นั้นร่วมกัน นาทุ่งหนองบัวที่โจทก์ให้จำเลยลงชื่อในใบเหยียบย่ำแต่ผู้เดียว ไม่เป็นข้อแสดงว่าโจทก์สละสิทธิให้จำเลย จำเลยมีชื่อในใบเหยียบย่ำแต่คนเดียว ก็เท่ากับเป็นตัวแทนของโจทก์อยู่ในตัว รูปคดีโจทก์มีสิทธิในทรัพย์ที่ขอแบ่งบางอย่าง แต่ศาลอุทธรณ์ยังหาได้วินิจฉัยไม่
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดในเรื่องทรัพย์ แล้วพิพากษาใหม่

Share