แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก่อนใช้ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ.2479 มาตรา 5 บัญญัติให้ถือกักกันเป็นโทษอาญาสถานหนึ่ง เมื่อใช้ประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 15 ให้เปลี่ยนโทษกักกันมาเป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัย โทษกักกันจึงไม่ใช่โทษอาญาเสียแล้ว แต่บทบัญญัติมาตรา 15 นี้ย่อมไม่ย้อนหลังไปบังคับถึงโทษกักกันที่ได้เสร็จสิ้นพ้นโทษไปแล้ว
จำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้กักกันมีกำหนด 3 ปี พ้นโทษไปเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2498 ก่อนใช้พระราชบัญญัติล้างมลทิน ฯ พ.ศ. 2499 และก่อนใช้ประมวลกฎหมายอาญา ดังนี้ โทษกักกันที่จำเลยได้รับเสร็จสิ้นไปแล้วก่อนประมวลกฎหมายอาญาออกใช้ ก็คงถือเป็นโทษอยู่ ย่อมได้รับการล้างมลทินโดยพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ.2499 มาตรา 3 จะกักกันจำเลยโดยอาศัยเหตุที่จำเลยเคยถูกกักกันมาแล้วตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 41 อีก หาได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร และขอเพิ่มโทษจำเลยที่ ๑ ทั้งขอให้กักกันจำเลยที่ ๑ ด้วย โดยอ้างว่าก่อนคดีนี้จำเลยที่ ๑ เคยต้องคำพิพากษาของศาลอาญาให้กักกันเป็นเวลา ๓ ปี มาแล้ว ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้กระทำผิดอันเป็นมูลให้กักกันในขณะมีอายุเกินกว่า ๑๗ ปีแล้ว ปรากฎในประวัติอาชญากรท้ายฟ้องในรายการครั้งที่ ๔ และภายในระยะเวลา ๑๐ ปีนับแต่วันที่จำเลยที่ ๑ ได้พ้นจากการกักกันดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ได้บังอาจมากระทำผิดอันเกี่ยวกับทรัพย์ดังระบุไว้ในมาตรา ๔๑(๘) แห่งประมวลกฎหมายอาญาอีก
จำเลยทั้ง ๒ ให้การรับสารภาพฐานรับของโจร
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้ง ๒ ผิดฐานรับของโจรตามมาตรา ๓๕๗,๘๓ ลงโทษจำคุกจำเลยและเพิ่มโทษจำเลยที่ ๑ ลดรับสารภาพให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ ๑ หกเดือน จำเลยที่ ๒ สี่เดือน นับโทษจำเลยที่ ๑ ต่อจากคดีแดงที่ ๑๓๔๑/๒๕๐๖ และให้กักกันจำเลยที่ ๑ อีก ๓ ปี ตามมาตรา ๔๑,๔๒
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า โทษกักกันจำเลยได้รับการลบล้างมลทินโทษไปแล้วตามพระราชบัญญัติล้างมลทิน ฯ พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๓ ศาลชั้นต้นยกเหตุนี้มาลงโทษกักกันจำเลยไม่ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ โดยไม่กักกันจำเลยที่ ๑
โจทก์ฎีกาขอให้กักกันจำเลยที่ ๑
ศาลฏีกาปรึกษาว่า คดีนี้ โจทก์ขอให้กักกันจำเลยที่ ๑ เฉพาะในเหตุที่จำเลยที่ ๑ เคยต้องคำพิพากษาให้กักกันมาแล้วตามรายการในประวัติอาชญากร ครั้งที่ ๔ ท้ายฟ้อง ปรากฏว่าศาลลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานวิ่งราวทรัพย์ ให้จำคุก ๑ ปี และกักกัน ๓ ปี จำเลยที่ ๑ พ้นโทษไปเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๔๙๘ บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๐๐ และประมวลกฎหมายอาญาก็ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๐๐ จำเลยที่ ๑ จึงพ้นโทษไปก่อนใช้พระราชบัญญัติล้างมลทิน ฯ ดังกล่าวและก่อนใช้ประมวลกฎหมายอาญาด้วย
ก่อนใช้ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ.๒๔๗๙ มาตรา ๕ ให้ถือกักกันเป็นโทษอาญาสถานหนึ่ง เมื่อใช้ประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕ ให้เปลี่ยนโทษกักกันมาเป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัย โทษกักกันจึงไม่ใช่โทษอาญาเสียแล้ว แต่ศาลฎีกาเห็นว่า บทบัญญัติประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕ ที่ให้เปลี่ยนโทษกักกันมาเป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้น ย่อมไม่กระทบกระเทือนโดยย้อนหลังไปบังคับถึงโทษกักกันที่ได้เสร็จสิ้นพ้นโทษไปแล้ว ฉะนั้น โทษกักกันที่จำเลยที่ ๑ ได้รับเสร็จสิ้นไปแล้วก่อนประมวลกฎหมายอาญาออกใช้ ก็คงถือเป็นโทษอยู่ และย่อมได้รับลบล้างมลทินโดยพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๓, จะกักกันจำเลยที่ ๑ โดยอาศัยเหตุที่จำเลยที่ ๑ ถูกกักกันมาแล้วอีกหาได้ไม่ พิพากษายืน.