คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1198/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ของหมั้นไม่จำต้องเป็นกรรมสิทธิของชายคู่หมั้น แม้จะเป็นของคนอื่นก็อาจเป็นของหมั้นและตกเป็นกรรมสิทธิแก่หญิงในเมื่อสมรสแล้วได้ ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 1436 ก็ใช้คำว่า ฝ่ายชาย มิได้ใช้คำว่า ชาย เฉย ๆ
พ.สามีจำเลยกับจำเลยได้ไปทำการหมั้นโจทก์ให้แก่ จ. ซึ่งเป็นบุตรของ พ. โดยใช้แหวนเป็นของหมั้น แหวนนี้จะเป็นเพียงจำเลยให้ยืม โดย พ.ทราบด้วยหรือไม่ทราบก็ตาม เมื่อปรากฎว่าทางฝ่ายโจทก์และบิดามารดาโจทก์หาได้ทราบความข้อนี้ด้วยไม่ จึงจะเอาข้อตกลงระหว่าง จ.กับจำเลยตลอดจนความไม่รู้ของ พ.หากเป็นความจริง ไปผูกมัดโจทก์ไม่ได้.
การที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้กำหนดค่าฤชาธรรมเนียมให้โจทก์ ซึ่งเป็นฝ่ายชนะนั้น โจทก์อาจฎีกาได้ตามมาตรา 168 ป.ม.วิ.แพ่ง แต่โจทก์ไม่ได้ฎีกา เป็นแต่เพียงแถลงมาในคำแก้ฎีกานั้นย่อมไม่ได้ แต่เนื่องจากเวลาพิพากษาศาลฎีกามีอำนาจสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตลอดไปถึงของศาลล่างด้วย โดยอาศัยอำนาจนี้ ศาลฎีกาอาจวินิจฉัยเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมนี้ให้ได้ในเมื่อเห็นสมควร
เมื่อพ้นกำหนดยื่นคำแก้อุทธรณ์ตามมาตรา 237 วรรคต้น ป.ม.วิ.แพ่งแล้วจำเลยจะยื่นคำแก้อุทธรณ์ไม่ได้ จะยื่นได้ก็แต่ในฐานะคำแถลงการณ์ตามมาตรา 246,186 วรรค 2 ป.ม.วิ.แพ่ง หากยื่นคำแก้อุทธรณ์ภายหลังกำหนดและศาลรับไว้ก็รับไว้ในฐานะเป็นคำแถลงการณ์เท่านั้น ซึ่งมีผลว่าจำเลยจะตั้งประเด็นในศาลอุทธรณ์ไม่ได้เพราะเป็นแต่เพียงคำแถลงการณ์ ไม่ใช่คำแก้อุทธรณ์ซึ่งเป็นคำคู่ความที่จำเลยอาจตั้งประเด็นไว้
การยื่นคำแก้อุทธรณ์ภายหลังกำหนดอันถือได้ว่าเป็นการยื่นคำแถลงการณ์นี้ ก็ถือได้ว่าทนายของจำเลยอุทธรณ์ได้ว่าคดีในชั้นศาลอุทธรณ์เหมือนกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์กับจำเลยได้เป็นเฒ่าแก่ฝ่ายชาย ในการประกอบพิธีหมั้นระหว่างหม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนีกับโจทก์ และได้ประทานแหวนเพ็ชรลูกขนาด ๑๑ กาหรัดเศษวงหนึ่งให้เป็นของหมั้น โจทก์กับหม่อมเจ้าจันทร์จิรายุได้ทำการสมรสกันแล้ว โจทก์ได้มอบแหวนหมั้นให้แก่หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ นำไปถวายกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์และจำเลยให้ช่วยเก็บรักษา โดยตำหนักที่อยู่ไม่ค่อยมิดชิด และไม่มีตู้นิรภัย ต่อมากรมหมื่นพิทยาลงกรณ์สิ้นพระชนม์ ปรากฎว่าได้ทำพินัยกรรม์ยกทรัพย์ทั้งหมดให้แก่จำเลยผู้เดียว โจทก์ได้ขอแหวนคืนจำเลยไม่ยอม จึงขอให้ศาลบังคับ หากไม่ยอมคืนหรือคืนไม่ได้ ก็ให้ใช้ราคาทรัพย์ จำเลยต่อสู้ว่า ม.จ.จันทร์จิรายุมาขอยืมแหวนวงนี้จากจำเลย เพื่อไปใช้เป็นแหวนหมั้นชั่วคราว และว่าฟ้องเคลือบคลุม ศาลแพ่งเห็นว่า ฟ้องไม่เคลือบคลุม และเห็นว่าแหวนนี้เป็นของหมั้น โดยผลของกฎหมายย่อมตกเป็นสิทธิแก่โจทก์ ทางฝ่ายชายจะมีข้อตกลงเป็นเงื่อนไขอย่างไร หามีผลผูกพันฝ่ายหญิงไม่ พิพากษาให้จำเลยคืนแหวนพิพาทให้แก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน.
จำเลยฎีกาว่า กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ไม่ได้รู้เห็นยินยอมหรือประทานแหวนรายพิพาทให้เป็นของหมั้น ของหมั้นตกเป็นกรรมสิทธิแก่หญิง จะต้องเป็นกรรมสิทธิของชายคู่หมั้นก่อน ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม
โจทก์แก้ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่ได้กำหนดให้จำเลยเสียค่าธรรมเนียม ค่าทนายชั้นอุทธรณ์ให้แก่โจทก์
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องไม่เคลือบคลุม การหมั้น ป.ม.แพ่งฯ บรรพ ๕ ไม่ได้เปลี่ยนรูปสัญญาหมั้น ของหมั้นไม่จำเป็นต้องตกเป็นกรรมสิทธิของชายคู่หมั้น แม้จะเป็นของคนอื่น ก็อาจเป็นของหมั้น และตกเป็นกรรมสิทธิแก่หญิงเมื่อสมรสได้ มาตรา ๑๔๓๖ ก็ใช้คำว่ ฝ่ายชาย มิได้ใช้คำว่า ชาย เฉย ๆ คดีนี้ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์และจำเลยได้เป็นผู้ไปทำการหมั้นโจทก์ให้แก่ ม.จ.จันทร์จิรายุ โดยใช้แหวนรายพิพาทเป็นของหมั้น แหวนเพ็ชรนี้จะเป็นเพียงจำเลยให้ยืม โดยกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ทรงทราบด้วย ในขณะให้ยืมหรือไม่ก็ตาม ไม่สำคัญ เพราะปรากฎว่าทางฝ่ายโจทก์และบิดามารดาโจทก์หาทราบความข้อนี้ด้วยไม่ จึงเอาข้อตกลงระหว่าง ม.จ.จันทร์จิรายุและจำเลยตลอดจนความไม่ทรงทราบของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ หากว่าเป็๋นความจริงไปผูกมัดโจทก์ไม่ได้
ส่วนที่โจทก์กล่าวมาในคำแก้ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่ได้กำหนดค่าฤชาธรรมเนียมนั้น กรณีเช่นนี้โจทก์อาจฎีกาได้ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๑๖๘ แต่ถ้าโจทก์จะประสงค์ฎีกาในข้อนี้ โจทก์ต้องทำเป็นรูปคำฟ้องฎีกาโดยเสียค่าธรรมเนียม จะร้องมาในคำฎีกาไม่ได้ อย่างไรก็ดีเนื่องจากศาลฎีกาพิพากษา ศาลฎีกามีอำนาจสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตลอดไปถึงของศาลล่างด้วย ฉะนั้น ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรที่จะพิเคราะห์โดยอาศัยอำนาจนี้ ตาราง ๖ ท้าย ป.ม.วิ.แพ่ง ซึ่งว่าด้วยอัตราค่าทนายความและหมายเหตุปรากฎว่า โจทก์ยื่นคำแก้อุทธรณ์ฟลังจากรับสำเนาอุทธรณ์แล้วประมาณ ๓ เดือน และคดีไม่มีการแถลงด้วยวาจาต่อหน้าศษลอุทธรณ์ตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๓๗ วรรคต้น จำเลยอุทธรณ์ (โจทก์ในคดีนี้) หากประสงค์จะยื่นคำแก้อุทธรณ์ก็ต้องยื่นเสียภายใน ๑๕ วันนับแต่วันส่งสำเนาอุทธรณ์ เมื่อพ้นกำหนดนี้แล้วสิทธิของจำเลยที่จะยื่นคำแก้อุทธรณ์ก็หมดไป แต่ยังมีสิทธิยื่นคำแถลงการณ์ได้ตามมาตรา ๒๕๖ และ ๑๘๖ วรรค ๒ คำฟ้องอุทธรณ์และคำแก้อุทธรณ์นั้น แม้จะเป็นคำคู่ความ แต่ก็มีลักษณะผิดกับคำฟ้องและคำให้การในศาลชั้นต้น กล่าวคือ คำฟ้องอุทธรณ์และคำแก้อุทธรณ์เป็นไปในลักษณะคำคู่ความกับคำแถลงการณ์รวมกัน (ดูมาตรา ๑(๑๖) ประโยคท้าย) ฉะนั้นเมื่อพ้นกำหนดยื่นคำแก้อุทธรณ์ตามมาตรา ๒๓๗ วรรคต้นแล้ว จำเลยอุทธรณ์จะยื่นคำแก้อุทธรณ์ไม่ได้ จะยื่นได้ก็แต่ในฐานเป็นคำแถลงการณ์ หาใช่คำแก้อุทธรณ์ไม่ แม้จำเลยอุทธรณ์จะใช้คำแก้อุทธรณ์ และหากศาลยอมรับไว้ ศาลฎีกาก็รับไว้ในฐานะเป็นคำแถลงการณ์เท่านั้น ผลผิดกันในข้อสำคัญที่ว่า เมื่อยื่นเป็นคำแก้อุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์อาจตั้งประเด็นในศาลอุทธรณ์ได้ภายในกรอบที่กฎหมายว่าไว้ แต่ถ้ายื่นภายหลังกำหนดและถือเป็นคำแถลงการณ์แล้ว จะตั้งประเด็นเช่นว่านั้นไม่ได้ ถ้าตั้งประเด็นมาก็ฟังไม่ได้ เพราะการตั้งประเด็นต้องตั้งด้วยคำคู่ความ จะต้องด้วยคำแถลงการณ์หาได้ไม่ การที่จำเลยอุทธรณ์ยื่นคำแก้อุทธรณ์หลังกำหนดอันได้ว่าเป็นการยื่นแถลงการณ์เช่นนี้ จะว่าทนายความของจำเลยอุทธรณ์ไม่ได้ว่า คดีในชั้นศาลอุทธรณ์นั้นเสียเลยก็ไม่ได้ การที่ทนายความมาแถลงการณ์ด้วยวาจา ถือได้ว่าเป็นการว่าคดีฉันใด การแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรก็ถือได้ว่าเป็นการว่าคดีฉันนั้น ศาลฎีกาเข้าใจว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ก็ได้พิเคราะห์แล้ว หากแต่เห็นว่าค่าทนายความควรเป็นพับไป จึงมิได้สั่ง ว่าตามตัวบทก็มี ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๑๖๗ กำหนดไว้ว่า ศาลจะตั้งสั่ง สั่งอย่างไรก็ดั่งที่กล่าวไว้ในมาตรา ๑๖๑ ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่า ควรเป็นพับ ก็น่าจะได้สั่งไว้เพื่อจะได้ตรงกับตัวบทและปราศจากความสงสัย
พิพากษายืน.

Share