แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บิดายกที่ดินรายพิพาทให้แก่นางนิตย์โจทก์และจำเลย ต่อมามีการรังวัดขอรับโฉนด การที่นางนิตย์โจทก์ใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของร่วมเฉย ๆ โดยไม่แบ่งส่วนไว้ ต้องสันนิษฐานว่ามีส่วนเท่ากัน (ม 1357)
โจทก์อ้างว่านาเป็นของโจทก์มากกว่าครึ่ง คือเท่าที่โจทก์ครอบครองอยู่เวลานี้ จำเลยต่อสู้ว่าได้มอบนาให้โจทก์ไว้ทำต่างดอกเบี้ยเงินกู้ ดังนี้ การที่โจทก์ทำนารายพิพาทไม่เป็นเหตุให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ โจทก์จำเป็นต้องมีเจตนาเป็นเจ้าของตามมาตรา 1362 ป.พ.พ. ข้อเจตนาเป็นเจ้าของนี้โจทก์นำสืบไม่ได้ก็ไม่มีสิทธิที่จะเอาที่นาทั้งหมดตามที่ครอบครองอยู่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน โจทก์จำเลยต่างมีกรรมสิทธิร่วมกันในที่นา ๒ แปลง ซึ่งได้แยกครอบครองเป็นส่วนสัดมาแต่เดิม โจทก์จำเลยไปขอรังวัดแบ่งแยกโฉนด แต่ไม่ตกลงกัน จึงขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกนาฉะเพาะส่วนให้โจทก์ตามกฎหมาย, และห้ามจำเลยและบริวารอย่าเข้ามาเกี่ยวข้อง จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เนื้อที่ตามโฉนดที่โจทก์ฟ้องมี ๒๙ ไร่ ๔๘ วา จำเลยกับนางนิตย์โจทก์ถือกรรมสิทธิเป็นเจ้าของร่วมกันคนละครึ่ง ที่ดินส่วนของจำเลยกึ่งหนึ่งอยู่ทางเหนือ จำเลยได้ปลูกเรือนครอบครองมาประมาณ ๒๐ ปีแล้ว จำเลยเคยกู้เงินโจทก์และมอบที่นาส่วนของจำเลยให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย ก่อนโจทก์ฟ้อง จำเลยขอชำระหนี้แก่โจทก์เพื่อแบ่งแยกที่ดินกันคนละครึ่งตามส่วน แต่ไม่ตกลงกัน จึงขอให้ศาลแสดงว่า จำเลยมีกรรมสิทธิกึ่งหนึ่ง ให้โจทก์รับชำระหนี้และมอบนาส่วนของจำเลยให้จำเลยครอบครองตามเดิม กับให้แบ่งแยกโฉนดตามส่วน และตัดฟ้องว่าฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ให้การแก่ฟ้องว่าจำเลยไม่เคยยืมเงินโจทก์และมอบนาให้ทำต่างดอกเบี้ย และจำเลยไม่เคยขอชำระหนี้ ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ มอบนาแถวเหนือเนื้อที่ ๑๕ ไร่ ๒ งาน ๘ วา ให้โจทก์ทำต่างดอกเบี้ย และจำเลยเป็นเจ้าของที่บ้านมุมรายพิพาททางตะวันออกเฉียงเหนือ เนื้องที่ ๒ งาน ๘๐ วาด้วย ที่ตามโฉนดนอกนั้นเป็นของโจทก์ พิพากษาให้โจทก์รับชำระหนี้และแบ่งแยกที่ดินในโฉนดตามส่วน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน.
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังว่าบิดาได้ยกที่ดินตามโฉนดให้แก่จำเลยและนางนิตย์โจทก์ก่อนแล้ว ได้มีการรังวัดขอรับโฉนดภายหลัง การที่นางนิตย์โจทก์ใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของร่วมเฉย ๆ โดยไม่แบ่งส่วนไว้ ก็ต้องสันนิษฐานแห่ง ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๕๗ ว่าโจทก์จำเลยมีส่วนเท่ากัน การที่โจทก์ทำนารายพิพาทไม่เป็นเหตุให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ โจทก์จำเป็นต้องมีเจตนาเป็นเจ้าของ ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๓๘+ ข้อเจตนาเป็นเจ้าของนี้โจทก์นำสืบไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเอาที่รายพิพาททั้งหมดเป็นของโจทก์ได้
พิพากษายืน