แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เช่าที่ของราชพัสดุแล้วปลูกห้องพิพาทให้จำเลยเช่าตอนนี้จำเลยย่อมได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ แต่ต่อมาโจทก์หย่ากับสามี และแบ่งทรัพย์กัน โดยโจทก์ยกฟ้องพิพาทให้แก่สามีโจทก์ ๆ ขายห้องนี้ให้กับจำเลย การเช่าระหว่างโจทก์,จำเลยก็ขาดตอนไม่ติดต่อกันอีก จะใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ มาบังคับโจทก์ในตอนหลังนี้ ย่อมไม่ได้.
ย่อยาว
โจทฟ์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินของราชพัสดุกระทรวงการคลัง และได้ปลูกห้องแถวให้เช่า ต่อมาโจทก์หย่าขาดกับสามี และได้แบ่งห้องแถว ซึ่งปลูกในที่ดินนี้ให้แก่สามีโจทก์ ๒ ห้อง ต่อมาสามีโจทก์ได้ขายห้องแถว ๒ ห้องนี้ให้แก่จำเลย ๆ ซื้อแล้วหารื้อถอนไปไม่ จึงขอให้จำเลยรื้อถอนห้องแถวทั้ง ๒ ห้องออกจากที่ดิน จำเลยให้การว่า จำเลยได้เช่าห้อง ๒ ห้องนี้ ใช้เป็นที่อยู่อาศัยมานาน ๑๐ ปีแล้ว เมื่อโจทก์หย่าขาดกับสามีได้แบ่งห้องแถวกัน แล้วสามีโจทก์ได้ขายห้องแถวแก่จำเลย และสัญญาว่า ยอมให้จำเลยเช่าที่ดินอยู่ต่อไปโดยให้จำเลยเสียค่าเช่าล่วงหน้า จำเลยได้รับความคุ้มครองตาม ก.ม.ควบคุมค่าเช่าฯ คู่ความรับกันในข้อเท็จจริงแล้ว ต่างไม่สืบพะยาน ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนห้องแถว ๒ ห้องนี้
จำเลยฎีกา,
ศาลฎีกาเห็นว่า ในชั้นแรกจำเลยเช่าห้องจากโจทก์ จำเลยย่อมได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ แต่จำเลยเองรับว่า บัดนี้ห้องแถวที่จำเลยเช่าอยู่อาศัยจากโจทก์นั้น โจทก์ได้ยกให้กับสามีโจทก์เมื่อหย่าขาดจากกัน ห้องที่จำเลยซื้อไว้ จึงมิใช่เป็นของโจทก์ แล้วโจทก์ไม่มีสิทธิจะให้จำเลยเช่าห้องอันมิใช่เป็นของโจทก์อีก การเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงไม่ติดต่อกัน จะใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ มาบังคับแก่ในคดีนี้ ไม่ได้
พิพากษายืน.