แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เช่านา แล้วน้ำท่วม ทำนาไม่ได้ทำให้ผู้เช่าหลุดพ้นจากหน้าที่จะต้องชำระค่าเช่า
ผู้เช่านาผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า และถูกเตือนแล้ว ก็ไม่ชำระ ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาเอานาคืนได้ ในกรณีเช่นนี้ผู้เช่าไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย
การตั้งตัวแทนไปทวงค่าเช่าหรือบอกเลิกสัญญาเช่านั้น ไม่ต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องทำมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ย่อยาว
โจทก์ให้จำเลยเช่านา ๕ ปีถือ พ.ศ.๒๔๘+,+ ครั้นถึงปี ๒๔๘๕ น้ำท่วมจำเลยไม่ชำระค่าเช่ามี ๒๔๘๕ ได้ลองไล่จำเลยชำระจำเลยก็เฉย โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเช่าสำหรับปี ๒๔๘๕ ฝ่ายจำเลยต่อสู้ว่าไม่ผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาไม่ได้
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่านาแก่โจทก์
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาตัดสินว่า จำเลยไม่ชำระค่าเช่า ๒๐๐๐ บาท แก่โจทก์ตามสัญญา ที่จำเลยต่อสู้ว่า ปีนั้นการทำนาไม่ได้ผล (เพราะน้ำท่วม) จำเลยเก็บค่าเช่านาจากผุ้เช่าช่วงไม่ได้ จึงมีสิทธิงดชำระค่าเช่าแก่โจทก์ตาม ป.ม.แพ่งฯ ม.๓๖๙-๕๗๒ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ๒ มาตรานี้เป็นเรื่องการชำระหนี้กลายเป็น+ในสัญญาต่างตอบแทน กรณีนี้ไม่ต้องด้วย ๒ มาตรานั้น การเช่านั้นหน้าที่ชำระหนี้ของผู้ให้เช่าอยู่ที่ส่งมอบทรัพย์ให้แก่ผู้เช่า เรื่องนี้โจทก์ก็มอบนาให้จำเลยแล้ว การที่จำเลยไปหากำไรไม่ได้หรือเก็บจากเงินจากผู้เช่าช่วงไม่ได้ หาทำให้การชำระหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยตกเป็นพ้นวิสัยไม่ และเมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระโจทก์ก็บอกเลิกสัญญาเป็นอันระงับลงและเอาทรัพย์คืนได้ข้อที่จำเลยว่าโจทก์ใช้คนไปทวงค่าเช่าและบอกเลิกสัญญามิได้แต่งตั้งเป็นหนังสือนั้น ฟังไม่ขึ้น เพราะกรณี ๒ อย่างนี้ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือและการที่จำเลยผิดสัญญาดังนี้แล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย จึงพิพากษายืนตามศาลล่าง