คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3133/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์ให้เงินสดและสร้อยคอทองคำแก่ฝ่ายจำเลยโดยฝ่ายโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 3 มีอายุยังไม่ครบกำหนดที่จะจดทะเบียนสมรสได้ แต่ก็ยอมให้โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 3 ทำการสมรสกันตามประเพณีและอยู่กินด้วยกันฉัน สามีภริยาโดยไม่ต้องจดทะเบียนสมรสนั้น เงินสดและสร้อยคอทองคำดังกล่าวจึงไม่ใช่สินสอดตามความหมายของ ป.พ.พ.มาตรา 1437 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินสินสอดจำนวน 10,000 บาท และทองคำหนัก1 บาท ราคา 5,000 บาท คืนจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 และให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส 10,000 บาท ให้โจทก์ทั้งสาม
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นบิดามารดาจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 ได้เรียกเงินสินสอดเป็นเงิน 10,000บาท กับทองคำหนัก 1 บาท จากโจทก์ แต่โจทก์ทั้งสามทราบอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 3 อายุยังไม่ครบ 17 ปี บริบูรณ์ จึงได้พูกกันแต่เพียงให้มีการแต่งงานกันตามประเพณี ไม่ได้พูดถึงเรื่องจดทะเบียนสมรสโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกสินสอดคืน ส่วนค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรสสูงเกินไป
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาว่าโจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 3มีเจตนาจะทำพิธีสมรสกันตามประเพณีและอยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่มีเจตนาที่จะจดทะเบียนสมรสกันหรือไม่ ฝ่ายโจทก์มีโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาโจทก์ที่ 3 มาเบิกความว่ารู้จักจำเลยที่ 1 บิดาจำเลยที่ 3เพราะเคยเดินทางไปซื้อโคกระบือด้วยกัน บ้านอยู่ห่างหัน 10 กิโลเมตรเศษ มีถนนติดต่อสะดวก ก่อนมีการตกลงแต่งงานระหว่างโจทก์ที่ 3กับจำเลยที่ 3 ไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องอายุของคู่สมรส หลังจากรู้จากโจทก์ที่ 3 ว่าจำเลยที่ 3 ไม่ยอมให้โจทก์ที่ 3 ร่วมประเวณีหลังจากแต่งงานแล้ว โจทก์ที่ 1 จึงไปขอเงินสดและสร้อยคอทองคำซึ่งเป็นสินสอดทองหมั้นคืน เมื่อฝ่ายจำเลยที่ 3 ไม่ยอมให้ จึงไปร้องเรียนที่อำเภอวัฒนานครให้ช่วยจัดการให้ แต่ทางอำเภอจัดการให้ไม่ได้เพราะจำเลยที่ 3 มีอายุเพียง 16 ปี ยังแต่งงานไม่ได้หากโจทก์ที่ 1 ทราบจากฝ่ายจำเลยว่า จำเลยที่ 3 มีอายุไม่ครบสมรสตามกฎหมาย โจทก์ที่ 1 จะไม่ยอมเสียสินสอดให้ฝ่ายจำเลย ฝ่ายจำเลยมีจำเลยที่ 2 มารดาและจำเลยที่ 3 มาเบิกความว่าเมื่อโจทก์ทั้งสามมาสู่ขอ จำเลยที่ 3 ไม่เคยพูดว่าแต่งงานแล้วจะไปจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย และหลังแต่งงานแล้วก็ไม่เคยพูด ก่อนแต่งงานโจทก์ทั้งสามมาสอบถามอายุจำเลยที่ 3 จึงบอกว่าอายุ 15 ปี ฝ่ายโจทก์ได้ขอวันเดือนปีเกิดไปด้วย เมื่อได้ชั่งน้ำหนักคำเบิกความของทั้งสองฝ่ายแล้ว ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสืบว่าฝ่ายโจทก์เคยมาสอบถามอายุและขอวันเดือนปีเกิดของจำเลยที่ 3 ไปนั้น มีเหตุผลน่าเชื่อเพราะการที่บุคคลทั้งสองฝ่ายจะจัดให้บุตรของตนทำการสมรสกันนั้นย่อมจะต้องมีการสอบถามอายุของบุคคลที่จะให้มีการสมรสกันก่อนทั้งนี้เพื่อจะจัดหาวันเวลาที่เป็นฤกษ์เพื่อแต่งงานกันตามธรรมเนียมประเพณีของชาวไทยซึ่งมีมาช้านาน และเป็นที่รู้กันทั่วไป ที่ฝ่ายโจทก์นำสืบว่าไม่ได้สอบถามอายุจำเลยที่ 3 และฝ่ายจำเลยไม่เคยบอกเรื่องอายุของจำเลยที่ 3 นั้นฟังไม่ขึ้น ข้อเท็จจริงเชื่อว่าฝ่ายโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 3 มีอายุยังไม่ครบกำหนดที่จะจดทะเบียนสมรสได้ การที่ฝ่ายโจทก์ยอมให้มีการสมรสกันตามประเพณีจึงเชื่อได้ว่ามีเจตนาจะให้อยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย
มีปัญหาต่อไปว่า ฝ่ายโจทก์มีสิทธิเรียกเงิน 10,000 บาทและสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท คืนจากฝ่ายจำเลยได้หรือไม่ เห็นว่าเมื่อทั้งสองฝ่ายมีเจตนาจะให้โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 3 ทำพิธีสมรสกันตามประเพณีและอยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่ต้องจดทะเบียนสมรสแล้วการที่โจทก์ให้เงินจำนวน 10,000 บาท และสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาทแก่ฝ่ายจำเลย จึงมิใช่เงินสินสอดตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืนศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีนี้ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share