แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องตั้งพิพาทแต่ฉะเพาะ+ เนื้อที่ประมาณ 10 ตารางวาเท่านั้น แม้คำขอท้ายฟ้องจะขอให้ห้ามจำเลยไม่ให้เกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ ก็่ย่อมต้องหมายว่าที่ดินของโจทก์ที่พิพาทกันนั้นเท่านั้น
ในการรังวัดทำแผนที่พิพาท โจทก์จะเที่ยวนำชี้ที่ดินตอนอื่นนอกเหนือไปจากที่ดินพิพาทอย่างไรนั้น หาทำให้เป็นการแก้ฟ้องให้คลุมไปถึงที่ดินอื่นไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดที่ ๒๒๗๑ มาจากนายแฉ่ง โดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน โจทก์เข้าครอบครองและนำเจ้าพนักงานรังวัด ปรากฎกว่าห้องแถวของจำเลยได้ปลูกรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์รวม ๓ ห้อง เป็นเนื้อที่ประมาณ ๑๐ ตารางวา จึงขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และบังคับให้จำเลยรื้อห้องแถว ๓ ห้องนั้นไป
ทางพิจารณาได้ความว่าที่พิพาทนั้นจำเลยครอบครองอยู่กว่า ๑๐ ปีแล้ว ดจทก์ไม่มีหลักฐานให้ฟังว่าเขตต์โฉนดของโจทก์อยู่ถึงไหน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย แต่ที่ดินที่ปลูกห้องแถวของจำเลยอีกตอนหนึ่งซึ่งโจทก์ไม่ได้ตั้งพิพาทมาแต่เดิมนั้น ตัดสินว่าเป็นของโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ ๆ ตั้งพิพาทแต่ฉะเพาะที่ดินที่ปลูกห้องแถวพิพาท ๓ ห้อง เนื้อที่ประมาณ ๑๐ ตารางวาเท่านั้น ที่คำขอท้ายฟ้องขอให้ห้ามจำเลยไม่ให้เกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ ย่อมต้องหมายว่าที่ดินของโจทก์ที่พิพาทกันนั้นเท่านั้น ในการรังวัดทำแผนที่พิพาท ประเด็นที่ต้องทำแผนที่ก็เพื่อจะชี้ว่าที่ดินที่ตั้งพิพาทเป็นของใครเท่านั้น โจทก์จะเที่ยวนำชี้ที่ดินตอนอื่นนอกเหนือไปอย่างไรนั้น หาทำให้เป็นการแก้ฟ้องให้คลุมไปถึงที่ดินอื่นไม่ จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์