คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1335/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องว่า ภรรยาเอาสินบริคณห์ไปขายฝากไว้แก่จำเลยเป็นเงิน 8000 บาท แล้วโอนหลุดเป็นสิทธิแก่จำเลยโดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอม จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากและการโอนเสีย จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ใช่สามี ทรัพย์พิพาทเป็นของหญิงผู้เดียว ดังนี้ถือว่าเป็นฟ้องคดีมีทุนทรัพย์พิพาทกันมีราคา 8000 บาท ไม่ใช่คดีไม่มีทุนทรัพย์
ศาลแขวงพิจารณาพิพากษาคดีเกินอำนาจศาลแขวง, ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลแขวงให้คืนฟ้องโจทก์ไปเพื่อยื่นต่อศาลที่มีเขตตอำนาจ และคืนค่าธรรมเนียมทั้งหมดแก่โจทก์จำเลยนั้น ศาลฎีกาพิพากษายืน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสามีนางเยื้อนและเจ้าของบ้านเลขที่ ๒๔๐/๑ นางเยื้อนได้ขายฝากบ้านหลังนี้ ซึ่งเป็นสินบริคณห์แก่จำเลยเป็นเงิน ๘๐๐๐ บาท แล้วโอนหลุดเป็นสิทธิ โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมอนุญาต โจทก์ได้มีหนังสือบอกล้างนิติกรรมแล้ว จึงขอศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมขายฝากและการโอนบ้าน โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลแขวงเสียค่าขึ้นศาล ๑๕ บาท เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
จำเลยต่อสู้ว่า บ้านพิพาทเป็นของนางเยื้อนผู้เดียวโจทก์ไม่ใช่สามีนางเยื้อน และว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
ศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยอุทธรณ์โดยเสียค่าขึ้นศาล ๑๕ บาท
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเป็นเรื่องโต้แย้งกรรมสิทธิในเรือน ซึ่งปรากฎว่าได้ขายฝากไว้ ๘๐๐๐ บาท เกินอำนาจศาลแขวงที่จะทำการพิจารณาพิพากษา จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลแขวงพระนครเหนือเสีย ให้คืนฟ้องให้โจทก์เพื่อยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจและคืนค่าธรรมเนียมทั้งหมดแก่โจทก์จำเลย
โจทก์ฎีกาว่า คดีไม่มีทุนทรัพย์
ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องเช่นนี้พอเทียบกับแบบอย่างที่ศาลฎีกาเคยพิพากษาไว้ในฎีกาที่ ๑๑๙๖/๒๔๙๑ ว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้
จึงพิพากษายืน

Share