คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1281/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เช่าทรัพย์สินจากเจ้าของทรัพย์มาแล้วให้เช่าช่วง เมื่อหมดสัญญาเช่าแล้วเจ้าของทรัพย์กลับให้คนอื่นเป็นผู้เช่าแทนส่วนผู้เช่าช่วงยังคงเป็นคนเดิมดังนี้ ผู้เช่าคนแรกจะเรียกค่าเช่าจากผู้เช่าช่วง ตั้งแต่วันที่สัญญาของตนกับเจ้าของทรัพย์สิ้นสุดลงแล้ว ต่อไปอีกไม่ได้
ในกรณีเช่นนี้ ถ้าผู้เช่าช่วงชำระค่าเช่าหใ้แก่ผู้เช่า+สำหรับการเช่าภายหลังสัญญาที่ผู้เช่าคน+เจ้าของทรัพย์สิ้นอายุแล้วก็ดี ผู้เช่าคนใหม่ก็ไม่มีสิทธิมาฟ้องผู้เช่าคนก่อน เรียกค่าเช่าที่ผู้เช่าช่วงชำระไปแก่ผู้เช่าคนก่อนได้ เพราะผู้เช่าคนก่อนกับผู้เช่าคนใหม่ไม่มีนิติสัมพันธ์กันอย่างใดและการที่ผู้เช่าคนก่อนรับชำระค่าเช่าไว้จากผู้เช่า ช่วง ก็ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดต่อผู้เช่าคนใหม่แต่อย่างใด
ผู้เช่าคนก่อนฟ้องเรียกค่าเช่าที่ค้างจากผู้เช่าช่วง ผู้เช่าคนใหม่ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วย แม้ศาลจะตัดสินให้ผู้เช่าช่วงชำระค่าเช่าที่ค้างแก่ผู้เช่าคนก่อน ก็เป็นหนี้ฉะเพาะตัวผู้เช่าช่วง ผู้เช่าคนใหม่ไม่ต้องรับผิดในหนี้ส่วนตัวระหว่างผู้เช่าช่วงกับผู้เช่าคนก่อน
สัญญาเช่าข้อหนึ่งมีข้อความว่า “ทรัพย์สินที่ผู้รับเช่าได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือเพิ่มเติมหรือนำมาติดต่อเป็นเครื่องประกอบตกแต่งในโรงมหรศพก็ดี ผู้รับเช่ายอมยกให้เป็นกรรมสิทธิแก่ผู้ให้เช่าทั้งสิ้น แต่ทรัพย์สิ่งใดที่ผู้แสดงมหรศพนำมาใช้ เพียงเพื่อประกอบการแสดงของตนนั้นอยู่นอกสัญญานี้ ฯ” ดังนี้เมื่อปรากฎเพียงแต่ว่าเป็นทรัพย์ของผู้เช่าซึ่งผู้เช่านำเข้ามาในโรงมหรศพเท่านั้นจึงยังไม่พอที่จะชี้ขาดว่า ตกเป็นกรรมสิทธิของเจ้าของโรงมหรศพ

ย่อยาว

นายงู้โค้ย, นางเพ็กจูฟ้องนายเชียวว่า โจทก์ได้เช่าตึกแถวและโรงมหรศพจากนายบุญรอด ชูเกษ กับพวกแล้วเอามาให้จำเลยเช่าช่วงเดือนละ ๕๐๐ บาท และจำเลยเช่าสิ่งของต่าง ๆ ของโจทก์เดือนละ ๒๔๐๐ บาท กับตกลงเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างตำรวจรักษาการคนละครึ่ง ค่าไฟฟ้าที่ใช้เกินจากกำหนดจำเลยต้องเสีย จำเลยไม่ชำระค่าเช่าสิ่งของและค่าใช้จ่ายให้โจทก์ จึงขอให้จำเลยใช้เงินที่ค้างชำระรวม ๒๕๙๐๘ บาท ๔๐ สตางค์
จำเลยให้การต่อสู้ว่าผู้ให้เช่าเลิกการเช่ากับโจทก์แล้วจำเลยจึงชำระค่าเช่าแก่ผู้เช่าคนใหม่ กับฟ้องแย้งเรียกเงินที่วางประกันจากโจทก์ ๓๐๐๐ บาทคืน
อีกสำนวนหนึ่ง นายสุทิพย์ ชูเกษ เป็นโจทก์ฟ้องนายงู้โคย นายอาซำ นางเพ็กจู ว่า โจทก์ได้ผูกขาดการเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรายเดียวกับสำนวนแรกจากนายบุญรอด ชูเกษกับพวกซึ่งเป็นเจ้าของ ผลประโยชน์ที่โจทก์เก็บไม่ได้มี ๖ รายเป็นเงิน ๓๘๒๕ บาท เพราะจำเลยแย่งเก็บ ขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์ผู้เดียวมีสิทธิในการให้เช่า และให้จำเลยใช้เงิน ๓๘๒๕ บาท
จำเลยต่อสู้ว่า นายสุทิพย์ กับจำเลยไม่มีสิทธิและหน้าที่ผูกพันกันเลย
ต่อมานายสุพิทพย์ได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีแรก ศาลสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นเห็นว่าสัญญาเช่าระหว่างนายงู้โคยกับนายบุญรอดหมดอายุในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๔๘๙ จึงเรียกค่าเช่าจากนายเชียวได้เพียงนั้น จึงพิพากษาให้นายเขียวใช้เงินแก่นายงู้โคยกับพวก ๑๘๖๙๑ บาท ๙๕ สตางค์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยให้นายงู้โคยกับพวกคืนเงินประกัน ๓๐๐๐ บาทแก่นายเขียวและให้นายงู้โคยกับพวกคืนเงินค่าเช่าให้นายสุพิทย์ ๓๔๖๕ บาท ห้ามนายงู้โคยกับพวกเกี่ยวข้องในการเก็บค่าเช่าในทรัพย์รายนี้
นายงู้โคยกับพวก และนายเชียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ฉะเพาะค่าไฟฟ้าว่านายเชียวไม่ต้องรับผิดใช้ค่าแรงไฟฟ้าให้โจทก์ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๔๙๐ เป็นต้นไป
นายงู้โคย กับพวกฎีกา
ศาลฎีกา เห็นว่า
(๑) นายสุพิทย์ กับนางงู้โคยนั้นไม่มีนิติสัมพันธ์กันอย่างใดเลย การที่นายงู้โคยไปเรียกเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าห้องทั้ง ๖ รายนี้ หากเป็นการกระทำโดยมิได้มีอำนาจตามกฎหมาย ก็เป็นเรื่องที่ผู้เช่าเหล่านั้นจะพึงใช้สิทธิเรียกร้องเอาจากนายงู้โคยเอง การกระทำของนายงู้โคยดั่งกล่าวแล้วจะถือเป็นละเมิดต่อนายสุพิทย์ยังไม่ได้ ไม่มีทางที่นายสุพิทย์จะมาเรียกร้องเงินจำนวนนี้จากนายงู้โคย
(๒) เห็นว่าสัญญาเช่าระหว่างนายงู้โคยกับเจ้าของทรัพย์สิ้นสุดแล้ว นายเชียวก็ทำสัญญากับผู้มีสิทธิให้เช่าคนใหม่แล้ว ก็เป็นกรณีที่นายงู้โคยไม่ได้ให้นายเชียวได้ใช้หรือได้รับประโยชน์อย่างใดในทรัพย์สินนั้นตามสัญญาเช่าที่เคยทำไว้ นายงู้โคยจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเช่าจากนายเชียว และแม้นายงู้โคยจะมีสิทธิได้ค่าเช่าในสิ่งของส่วนของตน แต่นายงู้โคยก็ตีราคาค่าเช่าไม่ถูก (เพราะให้เช่ารวมกับทรัพยืของเจ้าของทรัพย์) คดีจึงไม่มีทางบังคับให้นายเชียวรับผิดใช้ค่าเช่าสิ่งของอุปกรณ์ของนายงู้โคย
(๓) สัญญาเช่าทรัพย์ข้อหนึ่งมีความว่า
“ทรัพย์สินที่ผู้รับเช่าได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือเพิ่มเติมหรือนำมาติดต่อเป็นเครื่องประกอบตกแต่งในโรงมหรศพก็ดี ผู้รับเช่ายอมยกให้เป็นกรรมสิทธิแก่ผู้ให้เช่าทั้งสิ้น แต่ทรัพย์สิ่งใดที่ผู้แสดงการมหรศพนำมาใช้เพียงเพื่อประกอบการแสดงของตนนั้น ย่อมอยู่นอกสัญญานี้ ฯ” ศาลฎีกาเห็นว่าทรัพย์ที่จะตกเป็นกรรมสิทธิของเจ้าของตามข้อสัญญาจะต้องเป็นทรัพย์ที่ผู้เช่าได้นำมาแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งของผู้ให้เช่า หรือนำมาเพิ่มเติมทรัพย์สิ่งของของผู้ให้เช่า หรือเป็นทรัพย์ที่นำมาติดต่อเป็นเครื่องประกอบตกแต่งในโรงมหรศพ มิใช่ว่าทรัพย์สิ่งของทุกสิ่งที่เข้ามาในโรงมหรศพแล้วตกเป็นกรรมสิทธิของเจ้าของโรงมหรศพ ฉะนั้นเพียงแต่ปรากฎว่าเป็นทรัพย์ของผู้เช่าซึ่งผู้เช่านำเข้ามาในโรงมหรศพ จึงไม่พอที่จะชี้ขาดว่าตกเป็นกรรมสิทธิของเจ้าของโรงมหาศพ และคดียังไม่มีประเด็นว่ากล่าวกันว่าทรัพย์สิ่งใดเป็นของใคร ที่ศาลล่างชี้ขาดในข้อนี้มาไม่ชอบ
(๔) ในเรื่องเงินวางประกัน ๓๐๐๐ บาท ตามข้อสัญญามีว่าเมื่อครบกำหนดการเช่า ผู้เช่าจะต้องมอบสิ่งของของผู้ให้เช่าเรียบร้อยแล้ว จึงจะรับเงินคืนไป แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่าจำเลยยังไม่ได้มอบสิ่งของคืนโจทก์ จำเลยจึงยังไม่มีอนาจฟ้องเรียกเงินมัดจำคืน
(๕) หนี้ที่นายเชียวจำเลยเป็นหนี้นายงู้โค้ยนั้น เป็นหนี้ฉะเพาะตัวนายเชียว แม้นายสุพิทย์จะเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ก็ไม่ทำให้นายสุพิทย์เกิดความรับผิดในหนี้ส่วนตัว ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับนายเชียว
(๖) เรื่องค่าแรงไฟฟ้า ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกข้อชี้ขาดว่าสิ่งของเครื่องอุปกรณ์ทั้งหมดในโรงมหรศพเป็นของเจ้าของโรงมหรศพเสียให้ยกฟ้องแย้งของนายเชียวที่ขอให้โจทก์คืนเงินประกัน ๓๐๐๐ บาท ให้ยกฟ้องนายสุพิทย์เสีย

Share