คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 91/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์นำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์ของจำเลย แต่มีผู้ร้องขัดทรัพย์ ทรัพย์ที่เหลือไม่พอชำระหนี้ โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย การฟ้องเช่นนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะคดีแพ่งซึ่งถึงที่สุดไปแล้วนั้นเป็นเรื่องชี้ขาดว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ ส่วนคดีนี้มีประเด็นว่า เมื่อจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาแล้ว จำเลยเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ควรตกเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ การวินิจฉัยคดีทั้งสองนี้มิได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดเชียงราย คดีแดงที่ ๘/๒๕๐๑ ซึ่งพิพากษาให้จำเลยใช้หนี้โจทก์เป็นเงิน ๖๖,๗๐๔.๐๘ บาทและศาลฎีกาได้พิพากษาแล้ว คดีถึงที่สุด โจทก์จึงได้นำยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสาม ได้มีผู้ร้องขัดทรัพย์ของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ส่วนจำเลยที่ ๑ มีทรัพย์ไม่พอชำระหนี้ จำเลยทั้งสามจึงเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสามต่อสู้ว่า มีทรัพย์สินพอใช้หนี้ ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม และเป็นฟ้องซ้ำ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ได้มีคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดแล้ว ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินให้โจทก์ ๖๘,๐๐๐ บาทถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระให้จำเลยที่ ๒,๓ ร่วมกันชำระหนี้นั้นแก่โจทก์แทนจำเลยที่ ๑ จำเลยทั้งสามไม่ได้ชำระหนี้ดังกล่าว โจทก์จึงบังคับคดีโดยขอยึดทรัพย์แต่ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดมีผู้ร้องขัดทรัพย์เสียเป็นส่วนมาก โจทก์จึงฟ้องคดีล้มละลาย
ปัญหามีว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ซ้ำคดีแพ่งหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีแพ่งซึ่งถึงที่สุดไปแล้วนั้น เป็นเรื่องชี้ขาดว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ ส่วนคดีนี้มีประเด็นว่า เมื่อจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาคดีแพ่งนั้นแล้ว จำเลยเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ควรตกเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ การวินิจฉัยคดีสองเรื่องนี้มิได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน คดีนี้จึงไม่ใช่เป็นการฟ้องซ้ำคดีแพ่งเรื่องก่อน
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแก่โจทก์หนึ่งร้อยห้าสิบบาท โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย

Share