คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1448/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โดยที่โจทก์จำเลยร้องขอต่อศาลให้ไปเดินเผชิญสืบตรวจดูว่าหนังทุ่งปุยรายพิพาทจะเป็นประโยชน์ในการเพาะปลูกของจำเลยหรือไม่ ฉะนั้น การที่ศาลไปตรวจดูจึงเป็นการไปสืบพยานตามที่ทั้งสองฝ่ายอ้าง และการที่คู่ความทั้งสองฝ่ายขอ ศาลก็ได้ไปตรวจดูตามที่ขอนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นการสืบตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 226,241) แล้ว และแม้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยื่นแสดงรายการแห่งวัตถุพยานไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 ก็ชอบที่จะขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามมาตรานี้ วรรค 3 ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นได้ไปตรวจดูที่พิพาทตามคำขอของคู่ความทั้งสองฝ่าย จึงถือได้ว่าเป็นการอนุญาตตามที่ศาลเห็นว่าเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม

ย่อยาว

คดีทั้ง ๓๓ สำนวน ศาลล่างพิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ฟ้งอกล่าวหาเป็นอย่างเดียวกันว่า จำเลยทั้ง ๓๓ สำนวนมีที่ดินเพาะปลูกอยู่ในเขตที่ได้รับประโยชน์จากการชลประทานส่วนราษฎรเหมืองฝายทุ่งปุย เพื่อประโยชน์ในการบำรุงรักษาซ่อมแซมแก้ไขการชลประทานส่วนราษฎรนี้ นายอำเภอได้สั่งให้นายอารมย์หัวหน้าการชลประทานทำการซ่อมแซมเพื่อเป็นการเตรียมป้องกันน้ำที่จะไหลบ่าเข้ามาในเขตการชลประทานในฤดูฝน เพื่อให้ราษฎรได้รับประโยชน์จากการชลประทานทั่วถึงกัน หัวหน้าการชลประทานซึงเป็นเจ้าพนักงานได้สั่งเกณฑ์จำเลยซึ่งเป็นผู้ได้รับประโยชน์ส่วนได้เสียกับการชลประทานไปทำการซ่อมแซมแก้ไขการชลประทานราษฎรนี้ในวันเวลาที่กำหนด จำเลยทราบคำสั่งแล้วไม่ยอมไปซ่อมแซมแก้ไขตามคำสั่งเกณฑ์โดยเจตนาขัดขืน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการชลประทานราษฎร์พ.ศ.๒๔๘๒ มาตรา ๑๘,๓๘(ก)
จำเลยทุกคนให้การว่า ได้รับคำสั่งเกณฑ์ให้ไปทำการซ่อมแซมแก้ไข ไม่เป็นประโยชน์แก่การเพาะปลูกของจำเลย จำเลยจึงไม่ทำตามคำสั่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยผิดตามฟ้อง คำให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษกึ่งหนึ่งปรับคนละ ๒๕ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนและวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การดูที่พิพาทของศาลชั้นต้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๔๑ แล้ว
จำเลยทั้ง ๓๓ สำนวนฎีกาข้อกฎหมายว่า การไปดูที่พิพาทของศาลชั้นต้นตามคำขอของโจทก์จำเลยไม่เป็นการสืบพยานที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีฝ่ายใดระบุไว้ในบัญชีพยานที่แต่ละฝ่ายยื่น จึงขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานใหม่ หรือยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์จำเลยทั้งสองฝ่ายร้องขอต่อศาลให้ไปเดินเผชิญสืบตรวจดูที่พิพาทว่า พนังทุ่งปุยรายพิพาทจะเป็นประโยชน์ในการเพาะปลูกของจำเลยหรือไม่ การที่ศาลไปตรวจดูจึงเป็นการไปสืบพยานตามที่ทั้งสองฝ่ายอ้าง ซึงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๒๖ บัญญัติว่า พยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือพยานบุคคลซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ ฯลฯ และให้สืบตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการสืบพยาน และมาตรา ๒๔๑ ก็ได้บัญญัติถึงเรื่องการสืบพยานว่า สิ่งใดใช้เป็นพยานวัตถุต้องนำมาศาลในกรณีที่นำมาไม่ได้ให้ศาลไปตรวจจดรายงานยังที่พยานวัตถุนั้นอยู่ ฉะนั้น การที่คู่ความทั้งสองฝ่ายขอให้ศาลไปตรวจดูที่พิพาทและศาลก็ได้ไปตรวจดูตามที่ขอนั้นแล้วจึงถือได้ว่าเป็นการสืบพยานตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้แล้ว ถึงแม้กรณีจะเป็นดังที่จำเลยฎีกาว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยื่นแสดงรายการแห่งวัตถุพยานนั้นไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๘๘ แต่วรรค ๓ มาตราเดียวกันนี้ก็บัญญัติว่า แม้ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสองวรรคแรกได้สิ้นสุดแล้ว ถ้าคู่ความฝ่ายใดมีเหตุสมควรอื่นใด ก็ชอบที่จะขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ การที่ศาลชั้นต้นได้ไปตรวจดูที่พิพาทตามคำขอของคู่ความทั้งสองฝ่าย จึงถือได้ว่าเป็นการอนุญาตตามที่ศาลเห็นว่าเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม จึงไม่เป็นการสืบพยานที่ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาตามที่จำเลยฎีกา พิพากษายืน

Share