แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเชื่อโดยสุจริตใจว่าที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งจำเลยเข้าครอบครองอยู่นั้นเป็นที่ของตน ฉะนั้น การที่จำเลยไม่ยอมออกจากที่พิพาทตามคำสั่งนายอำเภอโดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของตนนั้น จึงมีเหตุอันสมควรเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 ได้
ย่อยาว
คดีทั้ง ๘ สำนวนศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องว่า นายอำเภอท่าอุเทนได้มีคำสั่งให้จำเลยซึ่งบังอาจเข้าครอบครองทำประโยชน์ในบริเวณที่ดินสาธารณประโยชน์ซึ่งรัฐบาลได้สงวนไว้เป็นที่ทำเลเลี้ยงสัตว์ ละเว้นการเข้าครอบครองภายใน ๙๐ วัน จำเลยได้ขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายอำเภอ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๖๘
จำเลยต่อสู้ว่า ที่ดินตามที่โจทก์ฟ้องไม่ใช่ที่ดินสงวน จำเลยได้เข้าครอบครองโดยขอจับจองและได้รับใบเหยียบย่ำมาโดยชอบ จำเลยไม่มีเจตนาที่จะขัดขืนคำสั่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดดังโจทก์ฟ้อง
จำเลย ๗ สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้ครอบครองทำนาในที่พิพาทมาประมาณ ๑๖ ปีแล้ว มีใบเหยียบย่ำและแจ้งการครอบครองตามแบบ ส.ค.๑ ทั้งเสียภาษีบำรุงท้องที่อย่างเป็นเจ้าของตลอดมา การทำแผนที่แสดงอาณาเขตที่สาธารณะเพิ่งทำภายหลังที่นายอำเภอมีคำสั่งให้จำเลยออกจากที่พิพาท พฤติการณ์เหล่านี้แสดงว่า จำเลยเชื่อโดยสุจริตใจว่าที่พิพาทเป็นของตน ฉะนั้น การที่จำเลยไม่ยอมออกจากที่พิพาทตามคำสั่งนายอำเภอโดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของตนนั้น จึงมีเหตุอันสมควรเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิดฐานขัดคำสั่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๖๘ ได้ พิพากษายืน