คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 763/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในสัญญาซื้อขายฝิ่นมีข้อความว่า ผู้ซื้อผู้ขายตกลงกันว่าราคาฝิ่นที่กำหนดไว้ในสัญญานั้นฉะเพาะฝิ่นที่บริสุทธิ์เท่านั้น ถ้าคุณภาพหรือความบริสุทธิ์ของฝิ่นเลวไปกว่านั้น ผู้ขายให้ลดราคาลงตามส่วนโดยจะยอมรับเงินค่าฝิ่นเท่าที่ผู้ซื้อจะจ่ายให้ แล้วให้เสนอเรื่องต่ออธิบดีกรมสรรพสามิตต์เป็นผู้วินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออธิบดีวินิจฉัยชี้ขาดกำหนดราคาให้เท่าใด ผู้ขายยินยอมรับคำวินิจฉัยเป็นยุตติเด็ดขาด ดังนี้ศาลฎีกาแปลสัญญาว่า ถ้าคณะกรรมการ (ผู้ซื้อ) และโจทก์ (ผู้ขาย) ตกลงราคาฝิ่นที่เสื่อมคุณภาพกันได้แล้วเรื่องก็ไม่มีปัญหาถึงอธิบดีกรมสรรพสามิตต์จะต้องมีการเสนอรับคำวินิจฉัยของอธิบดีก็ต่อเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายคือ ผู้ซื้อและผู้ขายไม่ตกลงกันในเรื่องราคาฝิ่นที่เสื่อมคุณภาพนั้นเท่านั้น
คำสั่งของกระทรวงการคลังซึ่งเป็นทางราชการนั้นจะนำมาประกอบการแปลสัญญาเป็นการผูกมัดโจทก์ (ผู้ขาย) ซึ่งเป็นคนนอกและไม่ปรากฎว่าได้ยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งนี้หรือรู้เห็นคำสั่งนี้ด้วยไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยโดยคณะกรรมการที่จำเลยตั้งขึ้นได้ซื้อฝิ่นจากโจทก์รวมสองครั้งคิดเป็นราคาเงิน ๘๗๙,๑๙๓ บาท ๕๐ สตางค์ จำเลยได้รับฝิ่นไปทั้งหมดแล้ว ได้ชำระราคาให้เพียง ๒๐๖,๕๕๖ บาท ๗๕ สตางค์ คงค้างชำระอยู่อีก ๖๗๒,๖๓๖ บาท ๗๕ สตางค์ จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่าตามข้อสัญญา หากฝิ่นมีคุณภาพและความบริสุทธิ์เลวกว่าฝิ่นบริสุทธิ์แท้ ผู้ขายยอมลดราคาให้ตามส่วน แล้วให้เสนอเรื่องต่ออธิบดีกรมสรรพสามิตต์เป็นผู้วินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผู้ขายยินยอมรับการวินิจฉัยเป็นยุตติเด็ดขาด ฝิ่นที่โจทก์ส่งบางส่วนคุณภาพและความบริสุทธิ์เลวกว่าฝิ่นตามสัญญา อธิบดีกรมสรรพสามิตต์ได้กำหนดราคาฝิ่นและแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว โจทก์ไม่ยอมรับ อนึ่งโจทก์ได้โอนสิทธิในการรับเงินค่าฝิ่นจำนวน ๑๑๑,๘๓๖ บาท ๖๐ สตางค์ ที่กรมสรรพสามิตต์กำหนดให้นั้นแก่ธนาคารแห่งเอเซียจำกัดแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง
ศาลแพ่งฟังข้อเท็จจริงว่า ฝิ่น ๒ รายที่โจทก์ส่งรายแรกคณะกรรมการตรวจแล้วยอมรับรองว่าเป็นฝิ่นดีทั้งหมด รายที่ ๒ คณะกรรมการตัด ๕% เป็นจำนวน ๑๔ ปีบว่าฝิ่นเหลวมากไป อีก ๔๗ ปีบยอมรับว่าเป็นฝิ่นดี โจทก์ยินยอม เงินที่กรรมการมีไม่พอ คงจ่ายให้โจทก์ไป ๒๐๖,๕๕๖ บาท ๗๕ สตางค์ ส่วนที่ค้าง ๖๗๒,๓๖๓ บาท ๗๕ สตางค์นั้น นายจำรัสกรรมการและเลขานุการกรรมการจัดซื้อฝิ่นได้ทำใบรับรองหนี้ให้โจทก์ไว้ ต่อมาสงสัยกันขึ้นว่าฝิ่นรายนี้เป็นฝิ่นที่ถูกเจือปน และสงสัยว่ากรรมการจะสมยอมกับผู้ขายจึงได้ส่งฝิ่นไปให้ผู้เชี่ยวชาญและกรมวิทยาศาสตร์ตรวจ ได้ความว่าเป็นฝิ่นเจือปน อธิบดีกรมสรรพสามิตต์จึงวินิจฉัยชี้ขาดให้โจทก์ได้รับเงินที่ยังค้างอยู่เพียง ๑๑๑,๘๓๖ บาท ๘๐ สตางค์ โจทก์ไม่ยอม จึงฟ้องคดีนี้ สำหรับเงินจำนวน ๑๑๑,๘๓๖ บาท ๘๐ สตางค์ นั้นโจทก์ได้โอนสิทธิให้ธนาคารเอเซียรับแทน แต่ยังไม่ได้มีการเบิกจ่ายกัน ศาลแพ่งเห็นว่าคณะกรรมการได้ตกลงยอมรับฝิ่นไว้เสร็จแล้ว แม้จะปรากฎว่ามีข้อบกพร่องภายหลัง โจทก์ไม่ต้องรับผิด (ม.๔๗๓ ป.พ.พ.) อนึ่งสัญญานี้เป็นสัญญาซื้อขายเผื่อชอบ (ม๕๐๕) จึงเกิดเป็นสัญญาบริบูรณ์แล้วตามมาตรา ๕๐๘ (๑) และ (๓) การตรวจฝิ่นในภายหลังไม่มีผลบังคับสัญญาที่เสร็จเด็ดขาดแล้วได้ ตามสัญญาซื้อขายข้อ ๓ โจทก์จะต้องยอมรับราคาฝิ่นตามที่อธิบดีกรมสรรพสามิตต์ชี้ขาดก็ต่อเมื่อมีข้อโต้แย้งในเรื่องราคาและคุณภาพฝิ่นเกิดขึ้น ถ้าผู้ขายตกลงยอมตามคณะกรรมการแล้วเรื่องก็เสร็จไปในชั้นกรรมการ ดังจะเห็นได้จากสัญญาซื้อขายข้อ ๕ ที่ให้ผู้ซื้อคือคณะกรรมการจ่ายเงินค่าฝิ่นได้เต็มราคา จะต้องเสนออธิบดีก็ต่อเมื่อกรรมการและผู้ขายไม่ตกลงกันเรื่องราคา แต่เรื่องนี้ไม่มีปัญหาเช่นนี้ ที่เรื่องไปถึงอธิบดีในภายหลังนั้นเป็นโดยเรื่องอื่นเกิดขึ้น หาใช่เรื่องที่ต้องเสนอตามสัญญาข้อ ๓ และข้อ ๕ ไม่ คำวินิจฉัยของอธิบดีกรมสรรพสามิตต์ไม่มีผลใช้บังคับโจทก์ได้ พิพากษาให้จำเลยชำระค่าฝิ่นที่ค้างให้แก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้น ส่วนในเรื่องจำนวนเงินนั้นเห็นว่าโจทก์ได้โอนสิทธิเรียกร้องในจำนวนเงิน ๑๑๑,๘๓๖ บาท ๘๐ สตางค์ให้แก่ธนาคารและได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้คือ กระทรวงการคลังแล้ว สิทธิเรียกร้องในเงินจำนวนนี้ย่อมขาดไปจากโจทก์ พิพากษาแก้ให้หักเงินจำนวนนี้ออก คงให้จำเลยชำระเพียง ๕๖๐,๗๓๙ บาท ๙๕ สตางค์ ส่วนดอกเบี้ยให้คิดเป็นตอน ๆ ดังได้จารนัยไว้
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อสัญญาซื้อขายซึ่งโจทก์กับคณะกรรมการจัดซื้อฝิ่นได้ทำไว้ที่เกี่ยวข้องต้องวินิจฉัยตามประเด็นแห่งคดีมีอยู่ดังนี้
ข้อ ๓ วรรคท้าย และผู้ซื้อกับผู้ขายตกลงกันว่าราคาที่กำหนดไว้ในข้อ ๓ นี้ ฉะเพาะแต่ฝิ่นที่ส่งมอบนั้นบริสุทธิ์แท้และมีคุณภาพอื่น ๆ ดังได้กล่าวไว้ในข้อ ๒ แล้วเท่านั้น หากความบริสุทธิ์หรือคุณภาพของฝิ่นเลวไปกว่านั้นแม้แต่ประการใด ผู้ขายยอมให้ลดราคาลงตามส่วนโดยจะยอมรับเงินค่าฝิ่นเท่าที่ผู้ซื้อจะจ่ายเงินให้เท่านั้น แล้วให้เสนอเรื่องต่ออธิบดีกรมสรรพสามิตต์เป็นผู้วินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออธิบดีกรมสรรพสามิตต์วินิจฉัยชี้ขาดกำหนดราคาฝิ่นให้เท่าใด ผู้ขายยินยอมรับคำวินิจฉัยเป็นยุตติเด็ดขาด.
ข้อ ๕ เพื่อให้ผู้ขายได้รับเงินค่าฝิ่นไปเป็นทุนหมุนเวียนซื้อฝิ่นได้สดวก ผู้ซื้อกับผู้ขายจึงตกลงกันให้จ่ายเงินค่าฝิ่นเต็มราคาที่กำหนดในข้อ ๓ เว้นแต่ถ้ามีกรณีที่จะต้องเสนออธิบดีกรมสรรพสามิตต์ชี้ขาดในเรื่องราคาฝิ่นตามที่กล่าวไว้ในข้อ ๓ วรรคท้าย ผู้ซื้อจะจ่ายเงินค่าฝิ่นที่ค้างนั้นให้ต่อเมื่ออธิบดีกรมสรรพสามิตต์ได้ชี้ขาดกำหนดราคาแล้ว และจะจ่ายเงินให้เพียงเท่าที่อธิบดีกรมสรรพสามิตต์ได้กำหนดราคาเท่านั้น
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อความในวรรคท้ายของสัญญาข้อ ๓ แสดงให้เห็นว่าการเสนอต่ออธิบดีกรมสรรพสามิตต์นั้น ไม่ใช่เพื่อให้กำหนดราคาเท่านั้น แต่เป็นการเสนอเพื่อให้วินิจฉัยชี้ขาดทีเดียวที่จะมีการวินิจฉัยชี้ขาดตามปรกติก็ต้องเป็นกรณีที่มีข้อโต้เถียงกัน ในกรณีนี้ก็คือเมื่อผู้ขายและคณะกรรมการโต้เถียงไม่ยอมตกลงนั่นเอง ไม่ใช่ว่าแม้ยอมกันก็ต้องเสนอ เพราะแม้แต่ราคาฝิ่นเองว่าจะรับซื้อราคาเท่าใด คณะกรรมการจะกำหนดไม่ได้ กลับต้องให้อธิบดีกำหนดหรือถ้ากำหนดได้ทำไมจะต้องเสนออธิบดีอีก ในเมื่อราคาฝิ่นในตอนต้นซึ่งสำคัญกว่าไม่ต้องเสนอ ข้อความตามสัญญาข้อ ๕ คณะกรรมการจ่ายเงินได้โดยไม่ต้องรอฟังอธิบดี คือจ่ายได้เต็มตามราคาที่กำหนดไว้ในข้อ ๓ เว้นแต่ถ้ามี กรณีที่จะต้องเสนออธิบดีชี้ขาดในเรื่องราคาฝิ่นตามที่กล่าวไว้ในข้อ ๓ ตอนต้น แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีการลดราคาตามข้อ ๓ วรรคท้ายคณะกรรมการก็ยังจ่ายเงินได้ วรรคท้ายข้อ ๓ จึงแบ่งเป็น ๒ กรณี คือ กรณีที่ไม่ต้องเสนอและต้องเสนอ คณะกรรมการจะจ่ายไม่ได้ก็ต่อเมื่อมีกรณีที่ต้องเสนออธิบดีกรมสรรพสามิตต์เท่านั้น และความต่อมาก็ใช้คำว่าอธิบดีกรมสรรพสามิตต์ “ชี้ขาด” อีก แสดงให้เห็นว่ากรณีที่จะถึงอธิบดีต้องเป็นกรณีให้ชี้ขาดรับกับถ้อยคำที่ใช้ในข้อ ๓ วรรคท้าย ศาลฎีกาเห็นว่า ต้องแปลสัญญาดังที่ศาลล่างได้วินิจฉัยไว้แล้ว เรื่องก็ไม่มีปัญหาถึงอธิบดีกรมสรรพสามิตต์ จะต้องมีการเสนอขอรับคำวินิจฉัยของอธิบดีก็ต่อเมื่อทั้ง ๒ ฝ่ายไม่ตกลงกัน จะนำเอาคำสั่งกระทรวงการคลังที่ ๒๘๔๙๙/๒๔๘๕ มาประกอบการแปลสัญญานี้ด้วยไม่ได้ เพราะโจทก์เป็นคนนอกและไม่ได้ยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งนี้ หรือรู้เห็นในคำสั่งนี้ด้วย ทั้งจำเลยก็ไม่ได้ต่อสู้ไว้ว่าคณะกรรมการไปทำสัญญานอกเหนืออำนาจที่ได้รับมอบไป อย่างไรก็ดีศาลล่างฟังว่าการที่อธิบดีสั่งลดราคานี้หาใช่เพราะมีการเสนอตามข้อสัญญาไม่ หากแต่เกิดมาจากเหตุอื่น จำเลยมิได้โต้แย้งในข้อนี้ จึงฟังเป็นยุตติได้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน.

Share