คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้พิพากษาซึ่งเคยนั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น แม้จะถูกย้ายไปอยู่ศาลอื่นก็ตาม ถ้าหากยังคงเป็นผู้พิพากษาอยู่ ก็ย่อมอนุญาตให้คู่ความในคดีนั้นฎีกาได้ตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา221.
คดีของโจทก์มีพะยานเอกสารมากมาย เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าพะยานบุคคลรับฟังไม่ได้ แม้มีพะยานเอกสารสารมาเจือสมก็ไม่มีผลดีแก่คดีของโจทก์แล้ว ศาลอุทธรณ์จะไม่พิจารณาพะยานเอกสารนั้น ๆ ต่อไปก็ได้ ไม่เป็นการผิดกฎหมาย
คดีลักทรัพย์ ถ้าปรากฎว่าจำเลยได้กระทำผิดก่อนเจ้าทรัพย์ถึงแก่กรรม ทายาทหรือผู้จัดการมฤดกของเจ้าทรัพย์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องร้อง เพราะไม่ใช่ผู้เสียหาย
ฟ้องโจทก์ได้กล่าวหาว่าจำเลยปลอมหนังสือสัญญากู้และกระทำพะยานหลักฐานเท็จตั้งแต่ระยะเวลาก่อนผู้เสียหายถึงแก่กรรมตลอดมาจนภายหลังถึงแก่กรรม คดีไม่อาจชี้ได้ว่าจำเลยกระทำผิดในระยะใด คดีไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่าโจทก์จะมีอำนาจฟ้องได้หรือไม่ เช่นนี้ในชั้นฎีกาก็ไม่จำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงต่อไป
ในข้อหาที่ว่าจำเลยอ้างหลักฐานเท็จในคดีแพ่ง คือหาว่าจำเลยอ้างสัญญากู้ที่จำเลยทำปลอมขึ้นโดยเจตนาจะใช้แทนสัญญากู้ฉะบับที่จำเลยกู้เงินจากผู้ตาย ดังนี้เมื่อเป็นคดีที่จำเลยฟ้องร้องกันเองในคดีแพ่ง โจทก์ซึ่งเป็นทายาทหรือผู้จัดการมฤดกของผู้ตาย ย่อมไม่ใช่เป็นผู้เสียหายในคดีนั้น จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีอาญาในข้อหาฐานอ้างหลักฐานเท็จ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๔๘๕ วันเวลาใดไม่ปรากฎ จำเลยทั้ง ๔ ได้สมคบกันลักเอาเอกสารสัญญากู้ของนายพรท มัธยมจันทร์ (หลวงจำนงยุทธกิจ) ไป ๓ ฉะบับพร้อมด้วยโฉนดนายพรท มัธยมจันทร์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๔๘๕
ในระหว่างเวลาดังกล่าว จำเลยที่ ๑,๒,๓ สมคบกันปลอมหนังสือกู้ขึ้นแทนสัญญากู้ฉะบับที่จำเลยที่ ๑ กู้นายพรท ต่อมาระหว่างวันที่ ๖ มิถุนายน ถึงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๘๕ จำเลยที่ ๑,๒,๓ ได้สมคบกันทำหนังสือกู้ปลอมไปอ้างในคดีที่จำเลยที่ ๒ ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยที่ ๑ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๑๕๗,๒๒๓,๒๒๔,๒๒๖,๒๘๘,๒๙๓ และแก้ไขเพิ่มเติม ก.ม.อาญา ม.๑๕๗๗,+++++ จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมา พ.อ.ชิต ป.มัธยมจันทร์ +++++++ +++++++++++ ยื่นคำร้องขอ++++เป็นโจทก์ร่วม+++++++++++ ศาลชั้นต้นเห็นว่าพะยานหลักฐานไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้ พิพากษายกฟ้อง แต่มีผู้พิพากษานายหนึ่งทำความเห็นแย้งว่า คดีควรลงโทษจำเลยที่ ๑,๒,๓ ฐานปลอมหนังสือได้ และลงโทษจำเลยที่ ๒,๓ ฐานลักทรัพย์ได้
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ทั้ง ๓ คนฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา แต่ในเวลาที่อนุญาตให้ฎีกานั้น ได้ย้ายไปเป็นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า เรื่องอนุญาตให้ฎีกานั้น ผู้พิพากษาซึ่งเคยนั่งพิจารณาคดีนั้น แม้จะถูกย้ายไปอยู่ศาลอื่นแล้วก็ตาม ถ้าหากยังคงเป็นผู้พิพากษาอยู่ ก็ย่อมอนุญาตให้ฎีกาได้ ตาม ป.ม.วิ.อาญา มาตรา ๒๒๑
ในข้อที่โจทก์ฎีกาว่า พะยานเอกสารในคดีนี้มีมากมาย ศาลอุทธรณ์พิจารณาแต่พะยานบุคคล ถ้าหากศาลอุทธรณ์พิจารณาพะยานเอกสารถี่ถ้วนทุกฉะบับแล้ว +++เจือสมพะยานบุคคลของโจทก์ตามฟ้องทุกประการ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า++++++++++ศาลอุทธรณ์เห็นว่าพะยานบุคคลรับฟังไม่ได้ ซึ่งแม้จะมีพะยานเอกสารเจือสมก็ไม่มีผลแก่คดีของโจทก์ ศาลอุทธรณ์จะไม่พิจารณาพะยานเอกสารนั้นต่อไปก็ได้ ไม่เป็นการผิดกฎหมาย
ฎีกาโจทก์ข้อที่ว่า ศาลล่างวินิจฉัยว่า ได้ตรวจตู้เซฟถี่ถ้วนจึงไม่พบสัญญากู้ ๓๐๐๐ บาท ที่โจทก์มีพะยานหลายปากยืนยันในข้อนี้ตรงทุกประการ คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นความสันนิษฐานโดยปราศจากพะยานหลักฐานสนับสนุนและขัดด้วยเหตุผล เป็นการฝืนพะพานหลักฐานในสำนวน จึงคลาดเคลื่อนต่อ ก.ม.นั้น เห็นว่าศาลล่างได้วินิจฉัยชี้ขาดในข้อผิดอาศัยพะยานหลักฐานในสำนวนสนับสนุน จึง++++วินิจฉัยที่คลาดเคลื่อนด้วยกฎหมาย.
โจทก์เสนอหลักฐานกล่าวอ้างพะยานหลายอย่างอันเป็นข้อแสดงว่า จำเลยได้สมคบกันลักทรัพย์ไปก่อนวันหลวงจำนงฯ ถึงแก่กรรม ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าข้อเท็จจริงเป็นดังฎีกาโจทก์ฟ้องจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ก่อนหลวงจำนงฯ ถึงแก่กรรม โจทก์ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้เสียหายทั้ง ๓ คนก็ไม่มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องร้องเพราะหลวงจำนงฯ เป็นผู้เสียหาย โจทก์เป็นทายาทผู้จัดการมฤดกย่อมไม่มีอำนาจฟ้องร้อง
ข้อหาฐานปลอมหนังสือในข้อฟ้องของโจทก์กล่าวหาว่า จำเลยกระทำผิดตั้งแต่ระยะเวลาก่อนหลวงจำนงฯ ถึงแก่กรรม ตลอดมาจนภายหลังถึงแก่กรรมแล้ว แต่คดีนี้ข้อเท็จจริงไม่อาจชี้ได้ว่าจำเลยกระทำผิดในระยะใด ถ้าหากจำเลยทำปลอมขึ้นก่อนโจทก์ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้เสียหายย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อคดีไม่มีทางจะรู้ว่าโจทก์จะมีอำนาจฟ้องไม่ เช่นนี้ ก็ไม่จำต้องพิจารณาข้อเท็จจริงต่อไป
ข้อหาฐานกระทำพะยานหลักฐานเท็จตามมาตรา ๑๕๗ ก็ดุจเดียวกับความผิดฐานปลอมหนังสือ ส่วนข้อที่ว่า จำเลยอ้างหลักฐานเท็จในคดีแพ่ง ก็ได้ความว่าเป็นกรณีจำเลยฟ้องร้องเอง โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายทั้งสามมิใช่ผู้เสียหายในคดีนั้น จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.
พิพากษายืน.

Share