แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้บาดเจ็บถูกฟันศีรษะ 1 ทีและถูกแทงหลัง 1 ที ต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 15 วัน แพทย์ก็ให้กลับและให้ไปโรงพยาบาลทุก 3 วัน เพราะประสาทยังไม่ปกติ ไปโรงพยาบาลอีก 3 ครั้ง แล้วขอยามารักษาที่บ้าน เพราะต้องเดินทางไกลสะเทือนสมอง เพียงเท่านี้ไม่ปรากฎอาการใดที่จะถือเป็นทุกขเวทนา เกินกว่า 20 วัน ถือว่ายังไม่เป็นอันตรายสาหัส
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทุกคนฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้มีผู้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 3 จำเลยที่ 1 ผู้เดียวฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าบาดเจ็บนั้นไม่ถึงสาหัสจึงเป็นผิดเพียงตาม มาตรา 340 วรรค 2 ซึ่งมีโทษเบากว่า แม้จำเลยอื่นจะมิได้ฎีกา ก็เป็นเหตุในลักษณะคดี ย่อมมีผลตลอดถึงจำเลยอื่นด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกับพวกใช้มีดเป็นอาวุธปล้นทรัพย์ราคา ๒,๒๒๐ บาท ของนายเที่ยงโดยทำร้ายนายเที่ยงบาดเจ็บสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ กับให้ใช้ทรัพย์
จำเลยที่ ๑ ปฏิเสธ จำเลยที่ ๒ รับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยทำผิดจริงตามฟ้อง นายเที่ยงถูกฟันศีรษะ ๑ ที และถูกแทงหลัง ๑ ที บาดเจ็บของนายเที่ยงถึงทนทุกข์เวทนากล้าเกิน ๒๐ วันเป็นอันตรายสาหัส พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ จำคุกคนละ ๑๕ ปี จำเลยที่ ๒ รับสารภาพลดกึ่งตามมาตรา ๗๖ คงจำคุกจำเลยที่ ๒ ไว้ ๗ ปี ๖ เดือน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยเป็นผู้กระทำผิดรายนี้จริง แต่บาดแผลของนายเที่ยงได้ความว่านายเที่ยงต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล ๑๕ วัน แพทย์ก็ให้กลับและให้ไปโรงพยาบาลทุก ๓ วัน เพราะประสาทยังไม่ปกติ ไปโรงพยาบาลอีก ๓ ครั้ง แล้วขอยามารักษาที่บ้าน เพราะต้องเดินทางไกลสะเทือนสมอง เพียงเท่านี้ไม่ปรากฎอาการใดที่จะถือเป็นทุกขเวทนา เกินกว่า ๒๐ วัน ถือว่ายังไม่เป็นอันตรายสาหัสดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ ความผิดของจำเลยทั้งสองต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา ม.๓๔๐ วรรค ๒ แม้จำเลยที่ ๒ จะมิได้ฎีกาก็เป็นเหตุในลักษณะคดี มีผลตลอดถึงจำเลยที่ ๒ ด้วย
พิพากษาแก้บทลงโทษจำเลยทั้งสองเป็นให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๒ ส่วนกำหนดโทษและข้ออื่น ๆ คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์