คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 556/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ในคดีมโนสาเร่นั้นต่างกับการรับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงจึงถือว่าศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์เป็นการรับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงด้วยไม่ได้
ฟ้องขับไล่จำเลยจากห้องเช่า เลข 638 ฑ ได้ความว่าจำเลยเช่าห้องเลข 638 ฑ1 ซึ่งจำเลยรับในรายงานพิจารณาว่า ห้องที่จำเลยเช่า คือห้องที่พิพาทกันปัญหาเรื่องนอกฟ้องจึงตกไป
สัญญาเช่าห้อง ซึ่งมีกำหนดเวลาแน่นอนย่อมระงับลงตามสัญญาโดยไม่ต้องบอกเลิก.

ย่อยาว

คดีเรื่องนี้ โจทก์ฟ้องกล่าวความว่าเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2493 จำเลยได้เช่าห้องหมายเลขที่ 638 ฑ. ของโจทก์ เป็นที่ประกอบการค้าขาย ค่าเช่าเดือนละ 50 บาท มีกำหนดเวลา 2 ปี ปรากฏตามสำเนาสัญญาเช่าหมายเลข 1 ท้ายฟ้อง เมื่อจะสิ้นระยะเวลาเช่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายพยุง ตัญญะแสนสุขทนายของโจทก์ บอกเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลยแล้ว และให้จำเลยกับบริวารออกจากห้องของโจทก์ภายใน 1 เดือน ปรากฏตามสำเนาหนังสือบอกกล่าวหมายเลข 3 ท้ายฟ้องพ้นกำหนดจำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องรายพิพาทและให้จำเลยชำระค่าเช่าเดือนละ 50 บาท จนกว่าจะออกจากห้องด้วย

จำเลยต่อสู้ว่า ไม่ได้เช่าห้องเลขที่ 638 ฑ.ตามฟ้อง โจทก์ไม่มีอำนาจบอกเลิกการเช่าก่อนสิ้นอายุสัญญาเช่า และจำเลยเช่าเพื่ออยู่อาศัยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า อนึ่งเมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่าแล้วก็ไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันจะเรียกค่าเช่าต่อไปไม่ได้

ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้เช่าห้องรายพิพาทของโจทก์เพื่อประกอบการค้า บัดนี้ครบกำหนดสัญญาเช่าและโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าแล้วโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องของโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือน 50 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากฟ้องของโจทก์

จำเลยอุทธรณ์ทั้งปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่าคดีเรื่องนี้เป็นคดีมโนสาเร่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงโดยไม่มีผู้รับรองให้อุทธรณ์นั้นไม่ได้จึงวินิจฉัยแต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย แล้วพิพากษายืน

จำเลยฎีกาต่อมา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อ 3(1)(3)(4) และ (5) ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว จะได้วินิจฉัยฎีกาของจำเลยสืบไปตามลำดับ

ฎีกาข้อ 3(1) จำเลยเสนอว่าอุทธรณ์ของจำเลยมีทั้งปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์แล้วก็เท่ากับรับรองในข้อเท็จจริงให้อุทธรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 นั้นด้วย ศาลอุทธรณ์ไม่ยอมวินิจฉัยข้อเท็จจริงจึงไม่ชอบ

ศาลฎีกาเห็นว่า การรับรองเพื่อให้อุทธรณ์ได้ในปัญหาข้อเท็จจริงนั้นจะต้องแสดงให้เห็นเป็นพิเศษโดยแน่ชัดว่า ได้มีการรับรองเพราะคดีมีเหตุอันควรที่จะให้อุทธรณ์ได้ในปัญหาข้อเท็จจริง และเป็นคนละเรื่องต่างกันกับการสั่งรับอุทธรณ์ เมื่อคดีไม่ปรากฏว่าได้มีการรับรองดังว่านี้แล้ว จะให้ถือว่าการสั่งรับอุทธรณ์เป็นการรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ด้วยนั้นไม่ได้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาชอบแล้ว

ฎีกาข้อ 3(3) และ (4) จำเลยเสนอว่าโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าเลข 638 ฑ. ซึ่งจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้เช่าห้องเลข 638 ฑ. โจทก์จะสืบว่าจำเลยเช่าห้องเลข 638 ฑ. ซึ่งเป็นห้องอื่นเป็นการสืบนอกประเด็น และเป็นเรื่องข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง และศาลจะพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากห้องเลข 638 ฑ.1 ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องนอกฟ้องและเกินคำขอ ศาลฎีกาเห็นว่าฎีกา 2 ประการนี้เกี่ยวเนื่องกันจึงได้รวมวินิจฉัยสืบไป

ข้อนี้ ข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาปรากฏว่า เดิมห้องหมายเลข 638 ฑ. มี 2 คูหา เมื่อแบ่งให้จำเลยเช่าเพียง 1 คูหาจึงได้กั้นฝากลางขึ้นเลยกลายเป็น 2 ห้อง ห้องแรกคนอื่นเช่าอยู่คงใช้หมายเลขเดิม คือเลข 638 ฑ. ส่วนห้องที่จำเลยเช่าได้เลขใหม่คือเลข 638 ฑ.1 และจำเลยแถลงรับในรายงานพิจารณาลงวันที่ 26 มกราคม 2496 ว่าห้องที่จำเลยเช่าอยู่นั้น คือห้องที่พิพาทกันในคดีนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อจำเลยยอมรับว่าเป็นห้องที่พิพาทกันในคดีเรื่องนี้อยู่แล้วปัญหาเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นและพิพากษาเกินคำขอก็ตกไปในตัว

ฎีกาข้อ 3(5) จำเลยเสนอว่า สัญญาเช่าห้องระหว่างโจทก์และจำเลยหมดอายุวันที่ 30 ตุลาคม 2495 แต่โจทก์มอบให้นายพยุงบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2495 ก่อนหมดอายุสัญญาเช่า ซึ่งโจทก์ยังไม่มีสิทธิอันใดที่จะบอกเลิกสัญญาเช่าจากจำเลยได้ คำบอกกล่าวเลิกสัญญาของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย

ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาเช่าที่มีกำหนดระยะเวลาเช่าแน่นอนและระบุไว้ชัดเจนว่า สัญญาเช่าสิ้นสุดในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2495 เช่นนี้สัญญาเช่าย่อมระงับไปทันทีเมื่อถึงวันที่กำหนดนั้น ไม่จำต้องมีการบอกกล่าวประการใดก่อนเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 564 และที่โจทก์บอกกล่าวก็เพื่อให้จำเลยมีโอกาสตระเตรียมตัวออกจากห้องเช่าในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้วต่างหาก ซึ่งเป็นผลดีแก่จำเลยทั้งสิ้น หาใช่บังคับให้จำเลยต้องออกจากห้องในทันทีก่อนครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าไม่ ข้อโต้เถียงของจำเลยในปัญหาอันเกี่ยวกับคำบอกกล่าวเลิกสัญญาทั้งมวลจึงฟังไม่ขึ้น

ด้วยเหตุผลทั้งหลายดังกล่าวมา ศาลฎีกาเห็นว่าฎีกาของจำเลยไม่มีทางที่จะกระทำให้ชนะคดีเรื่องนี้ได้ ให้ยกเสีย โดยศาลฎีกาพิพากษายืน และให้จำเลยเสียค่าทนายชั้นนี้แก่โจทก์ 25 บาท

Share