แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอาจพิจารณาแต่คำฟ้องอย่างเดียว  เมื่อเห็นว่าเป็นคดีมโนสาเร่  ก็ออกหมายเรียกจำเลยอย่างคดีมโนสาเร่ได้ทีเดียว  ยังไม่ต้องพิจารณาคำแก้คดีด้วย
ฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากที่ดินอันมีค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 500 บาท  การที่โจทก์ขอให้บังคับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปด้วย  ก็เป็นแต่ผลบังคับส่วนหนึ่งของการขับไล่  แม้กระทบถึงอสังหาริมทรัพย์  คือ  สิ่งปลูกสร้างของจำเลยด้วย  ก็ไม่ทำให้เป็นคดีแพ่งสามัญ
เมื่อการขาดนัดยื่นคำให้การเป็นความผิดของจำเลยเองแล้ว  จำเลยจะมาโต้เถียงอีกไม่ได้ว่า  ศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดเสียก่อนทำให้ไม่มีคำให้การแก้คดีของจำเลยที่จะให้ศาลวินิจฉัยว่าเป็นคดีแพ่งสามัญ
ในคดีมโนสาเร่  เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ  แม้ศาลจะไม่ได้นัดสืบพยานไว้  ศาลก็ยังมีอำนาจดำเนินการพิจารณาดคีในวัดนัดตามหมายเรียกนั้นต่อไปได้ตามมาตรา 193 วรรค 4  และในกรณีที่จำเลยไม่มาศาลก็ยังมีผลเท่ากับจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาด้วยแล้ว  ฉะนั้น  การที่ศาลแจ้งไปในหมายเรียกด้วยว่าวัดนัดตามหมายนั้นเป็นวัดนัดสืบพยานด้วย  จึงไม่ขัดต่อกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจเลยเช่าที่ดินตามโฉนดของโจทก์ไปจากโจทก์เป็นเนื้อที่ราว ๖.๒๔  ตารางวา  คิดค่าเช่าตารางวาละ ๒ บาทต่อเดือน  จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าเกินกว่า ๒ ครั้ง  และไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป  จึงขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์  ซึ่งมีราคา ๒,๑๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกคดีมโนสาเร่  นัดให้จำเลยมาให้การและนัดสืบพยานในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๐๔  เวลา ๘.๓๐ น. ถึงวัดนัด  จำเลยไม่มาศาลและมิได้ยื่นคำให้การ  เวลา ๙.๐๐ น. ศาลจึงสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา  ทำการสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวเสร็จแล้ว  เวลา ๑๓.๑๕ น.  จำเลยยื่นคำร้องขอยืดระยะเวลายื่นคำให้การ  ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง แล้วพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโจทก์
จำเลยอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๓  ศาลอาจพิจารณาแก้คำฟ้องอย่างเดียวโดยยังไม่ต้องพิจารณาคำให้การแก้คดีด้วย  ถ้าเห็นว่าเป็นคดีมโนสาเร่  ก็ออกหมายเรียกจำเลยอย่างคดีมโนสาเร่ได้ทีเดียว  เมื่อคดีนี้ตามฟอ้งโจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยผู้เช่าออกจากที่ดินที่จำเลยเช่าโจทก์  อันมีค่าเช่าไม่เกินเดือนละห้าร้อยบาท  ก็ถือได้ในเบื้องต้นว่าเป็นคดีมโนสาเร่  ตามมาตรา ๑๘๙ (๑)  วรรคหนึ่ง  การที่โจทก์ขอให้บังคับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้งออกไปด้วยนั้นเป็นผลบังคับส่วนหนึ่งของการขับไล่  แม้กระทบถึงอสังหาริมทรัพย์คือสิ่งปลูกสร้างของจำเลยด้วย  ก็ไม่เป็นคดีแพ่งสามัญตามมาตรา ๑๘๙ (๑)  วรรคสอง  ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกเป็นคดีมโนสาเร่ชอบแล้ว
การขาดนัดยื่นคำให้การก็เป็นความผิดของจำเลยเองที่ให้การแก้คดีไม่ได้  จะมาฎีกาโต้เถียงไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดเสียก่อน  ตามสำนวนจึงไม่มีคำกล่าวแก้ของจำเลยให้ศาลวินิจฉัยว่าเป็นคดีแพ่งสามัญ
ส่วนปัญหาที่ว่าศาลนัดสืบพยานในวันเดียวกับที่หมายเรียกให้จำเลยมาให้การจะเป็นการชอบหรือไม่นั้น  เห็นว่าวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่ตามมาตรา ๑๙๓  วรรคแรก  ต้องการให้ตัวจำเลยมาให้การต่อสู้คดีต่อหน้าศาลตามหมาย  ถ้าจำเลยไม่ให้การต่อสู้คดีหรือไม่มาศาล  ก็ให้ศาลมีอำนาจถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การหรือขาดนัดพิจารณาได้ตามมาตรา ๑๙๓  วรรค ๔ และ ๕  เป็นพิเศษต่างหากจากคดีสามัญ  ในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การมาตรา ๑๙๓ วรรค ๔ ให้ศาลมีอำนาจดำเนินการพิจารณาคดีในวันนัดตามหมายเรียกนั้นต่อไปได้  โดยไม่ต้องเลื่อนคดีไปนัดสืบพยานอย่างคดีสามัญตามมาตรา ๑๙๘ หรือ ๑๘๔  เสียก่อน  ดังจะเห็นได้ชัดยิ่งขึ้นในเมื่อวรรค ๕ แห่งมาตรา ๑๙๓ นี้เองบัญญัติว่า  ถ้าจำเลยไม่มาศาล  ให้บังคับตามมาตรา ๒๐๒  คือมีผลเท่ากับว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาด้วย  แม้เมื่อศาลไม่ได้นัดสืบพยานไว้  ก็ยังดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปตามวรรค ๔ ได้อยู่แล้วเช่นนี้  ฉะนั้น  ที่ศาลแจ้งไปในหมายเรียกด้วยว่าวันนัดตามหมายนั้นเป็นวัดนัดสืบพยานด้วย  จึงไม่ขัดต่อกฎหมาย
พิพากษายืน

