แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2540 และไม่มีการอุทธรณ์ต่อไป คดีจึงถึงที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาอุทธรณ์ได้สิ้นสุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง คือวันที่ 21 พฤศจิกายน 2540 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2540 ขณะคดีก่อนยังไม่ถึงที่สุดเพราะอยู่ในระยะเวลาอุทธรณ์ การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 153
เมื่อคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาชี้ขาดคดีแล้ว การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายอีกโดยอาศัยข้อเท็จจริงในหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมรายเดียวกัน และข้ออ้างอันเป็นเหตุว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวเช่นเดียวกันกับที่ได้มีคำพิพากษาชี้ขาดไปแล้วในคดีก่อน จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 153
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความไม่ได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5),246,247ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 153
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้นคดีหมายเลขแดงที่ 29/2530 คิดถึงวันฟ้องเป็นหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยรวม 6,761,373.04 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้และไม่มีทรัพย์สินใดที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ จึงเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงนายอภินันท์ วีระพันธุ์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์แล้วแถลงรับว่าโจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีล้มละลายตามคดีหมายเลขแดงที่ ล.3/2540 ของศาลชั้นต้นด้วยมูลหนี้เดียวกันกับคดีนี้ และคดีถึงที่สุดแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยานโจทก์และจำเลย จึงให้งดสืบพยานและวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์คดีซ้ำกับคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.3/2540 ของศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองไม่แก้อุทธรณ์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนหรือไม่ เห็นว่า คดีก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2540 และไม่มีการอุทธรณ์ต่อไป คดีจึงถึงที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาอุทธรณ์ได้สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 147 วรรคสอง คือ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2540 แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2540 ขณะคดีก่อนยังไม่ถึงที่สุด เพราะอยู่ในระยะเวลาอุทธรณ์ ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนอันจะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาชี้ขาดคดีแล้ว การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายอีกโดยอาศัยข้อเท็จจริงในหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมรายเดียวกัน และข้ออ้างอันเป็นเหตุว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวเช่นเดียวกันกับที่ได้มีคำพิพากษาชี้ขาดไปแล้วในคดีก่อน จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีก่อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ซึ่งเป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้คู่ความมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมาย-วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5), 246 และ 247 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน