แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ชายหญิงได้แต่งงานอยู่กินด้วยกันฉันท์สามีภริยา มาช้านาจนกระทั่งมีบุตรโดยต่างฝ่ายต่างสมัครใจที่จะไม่ไปจดทะเบียนสมรสนั้น ถือได้ว่าชายหญิงมีเจตนาเพียงแต่ทำพิธีแต่งงานตามประเพณีและอยู่กินฉันท์สามีภริยาเท่านั้น มิได้ถือเอาการจดทะเบียนสมรสเป็นสำคัญมาแต่แรกเมื่อกรณีเป็นดั่งนี้ ทรัพย์ที่ที่ได้ให้กันโดยเรียกว่า เป็นของหมั้นก็ดีการให้เงินอันเรียกว่าสินสอดก็ดีหาได้ให้ในฐานะเป็นของหมั้นและสินสอดไม่ฉะนั้นแม้จะถือว่ามิได้มีการสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ฝ่ายชายก็เรียกเงินและทรัพย์ที่ให้ไว้ดังกล่าวคืนไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ได้สู่ขอนางสาวจันบุตรีจำเลยให้เป็นภรรยาโจทก์ จำเลยตกลงยินยอมโดยให้ฝ่ายโจทก์จัดหาไม้กระดานปูนอกชานเรือนให้จำเลย ๑๒ แผ่นเป็นของหมั้น โจทก์ได้จัดการนำไม้กระดานเคี่ยมมาปูนอกชานให้จำเลย ๑๒ แผ่นราคา ๓๖๐ บาท ครั้นเมื่อโจทก์กับนางสาวจันได้ทำพิธีสมรสอยู่กินเป็นสามีภริยากัน โจทก์ได้นำเงิน ๕๐๐ บาทเป็นสินสอดให้จำเลยสมรสกันแล้วจำเลยไม่ไปจดทะเบียนให้ความยินยอม และต่อมาจำเลยพาลหาเหตุขับไล่โจทก์มิให้อยู่ โจทก์ต้องกลับมาอยู่บ้านโจทก์ จึงขอให้จำเลยส่งคืนไม้กระดาน ๑๒ แผ่นกับเงินสินสอด ๕๐๐ บาท กับผลข้าวที่โจทก์ร่วมแรงทำนากับจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์หมั้นนางจันด้วยไม้เคี่ยม ๑๒ แผ่น โจทก์กับนางจันสมรสกันแล้วของหมั้นจึงตกได้แก่นางจัน ส่วนสินสอดจำเลยได้รับเพียง ๑๐๐ บาท
คู่ความรับกันว่า โจทก์กับนางจันบุตรจำเลยได้แต่งงานกันตามประเพณี และอยู่กินด้วยกันฉันท์สามีภริยาเป็นเวลาเกือบ ๒ ปี มีบุตรด้วยกัน ๑ คนแต่ตายแล้ว
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เมื่อได้แต่งงานและอยู่กินเป็นสามีภริยากันแล้ว แม้ไม่ได้จดทะเบียนสมรสก็คงถือว่าได้มีการสมรสกันแล้ว โจทก์จะเรียกคืนสินสอดทองหมั้นไม่ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อมิได้จดทะเบียนสมรสก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการสมรสกันตามกฎหมาย แต่การที่โจทก์กับนางจันได้แต่งงานอยู่กินด้วยกันฉันท์สามีภริยามาช้านานจนกระทั่งมีบุตร และการที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสนั้น ไม่ปรากฎว่าเป็นความผิดของฝ่ายใดพฤติการณ์ฟังได้ว่าการที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสสนั้น เป็นความสมัครใจของโจทก์และนางจัน หรืออีกนัยหนึ่งโจทก์และนางจันทร์มีเจตนาแต่ทำพิธีแต่งงานตามประเพณีและอยู่กินฉันท์สามีภริยาเท่านั้น มิได้ถือเอาการจดทะเบียนสมรสเป็นสำคัญมาแต่แรก จึงย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าการที่โจทก์ให้ไม้กระดานอันเรียกว่าเป็นของหมั้นก็ดี การให้เงินอันเรียกว่าสินสอดก็ดีหาได้ให้ในฐานะเป็นของหมั้นและสินสอดนั้นเป็นการให้โดยมีเจตนาจะสมรสกันตาม กฎหมาย แต่คดีนี้ดังที่ได้วินิจฉัยมา ทั้งสองฝ่ายหาได้มีเจตนาจะจดทะเบียนสมรสอันจะให้ถือเป็นการสมรสโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ โจทก์จะมาเรียกทรัพย์หรือต้นเงินดังกล่าวนั้นคืนตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๑๔๓๖ ไม่ได้
สำหรับข้าวที่ฟ้องโจทก์อ้างว่าควรได้ในลักษณะหุ้น่วนแต่ตามฟ้องไม่มีข้อความ หรือมีข้อตกลงอันเป็นพฤติการณ์ให้เห็นว่าโจทก์เป็นหุ้นส่วนกับจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกข้าวรายนี้
พิพากษายืน