แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป 5,000 บาท  แล้วนำสืบว่าจำเลยเคยยืมเงินโจทก์ที่ 1 บิดาโจทก์ที่ 2 ไป 2,800 บาท  ไม่ได้ทำสัญญากัน  ต่อมาขอยืมอีก  โจทก์ที่ 1 ให้ถามโจทก์ที่ 2 ดู  โจทก์ที่ 2 ให้ยืมและได้เขียนสัญญากู้กันเป็นเงิน 5,000 บาท  และโจทก์ที่ 2 ได้จ่ายเงินอีก 2,200 บาท  ให้จำเลยไปแล้ว  ดังนี้  แม้จะมิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์มาก่อน 2,800 บาท  แต่ก็เป็นเรื่องโจทก์นำสืบถึงความเป็นมาของจำนวนเงินกู้ตามสัญญา  จึงไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น
แม้ในสัญญากู้ดังกล่าวนั้นจะมิได้ระบุว่าได้ทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ที่ 2 ด้วย  แต่ในช่องผู้ให้กู้ยืม คือเจ้าของเงินนั้น  โจทก์ที่ 2 ได้ลงชื่อร่วมกับโจทก์ที่ 1 ด้วย  ถือได้ว่าโจทก์ที่ 2 เป็นคู่สัญญากับจำเลยด้วย  มีอำนาจฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไปเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๐๑  เป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท  ได้รับเงินไปเสร็จแล้ว  ปรากฏตามสัญญากู้ท้ายฟ้อง  จำเลยไม่ชำระเงินกู้พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้โจทก์  ขอให้บังคับจำเลย
จำเลยให้การต่อสู้ว่า  ได้ทำสัญญาท้ายฟ้องกับโจทก์จริง  แต่รับเงินไป ๒,๒๐๐ บาท  ส่วนอีก ๒,๘๐๐ บาทนั้นคิดเป็นดอกเบี้ยล่วงหน้าเข้าไว้ด้วยแล้ว  ทั้งนี้  เนื่องจากตามเจตนาแท้จริงได้ตกลงกันไว้ว่าให้ที่ดินเป็นประกันเงินกู้หลุดเป็นสิทธิตีใช้หนี้โจทก์  แต่ถ้าจำเลยเอาที่ดินคืนหรือเนื้อที่ไม่ได้ตามที่เอาประกันไว้  โจทก์จะเอาดอกเบี้ย ๒,๘๐๐ บาทพร้อมด้วยเงินต้นคืน  ต่อมาที่ดินเนื้อที่น้อยลง  โจทก์ไม่เอาที่ดินมาฟ้องเอาต้นเงินเกินความจริง  โจทก์ที่ ๒  มิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย  ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินกู้แก่โจทก์ ๕,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเคยยืมเงินโจทก์ที่ ๑  ผู้เป็นบิดาโจทก์ที่ ๒ ไป ๒,๘๐๐ บาท  ไม่ได้ทำสัญญากัน  ต่อมาจำเลยมาขอยืมเงินโจทก์ที่ ๑ อีก  โจทก์ที่ ๑ ไม่มีว่าให้ถามโจทก์ที่ ๒ ดู  โจทก์ที่ ๒ ว่ามี  แต่ต้องทำสัญญาจึงจะให้ยืม  จำเลยก็ตกลงยืมและได้เขียนสัญญากู้กันเป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท  และโจทก์ที่ ๒ ได้จ่ายเงินอีก ๒,๒๐๐ บาท  ให้จำเลยไป
ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ที่ ๒ ไม่ใช่คู่สัญญา  ไม่มีอำนาจฟ้อง  (สัญญากู้ท้ายฟ้อง  มีข้อความตอนต้นว่า  จำเลยได้ทำหนังสือกู้ยืมเงินให้ไว้แก่โจทก์ที่ ๑  แต่ในช่องผู้ให้กู้ยืมเงินท้ายสัญญา  มีลายมือชื่อโจทก์ทั้งสอง)  นั้น  เห็นว่า ตามสัญญากู้ในช่องผู้ให้กู้ยืม คือ  เจ้าของเงินนั้นโจทก์ที่ ๒ ได้ลงชื่อไว้แล้ว  จึงถือได้ว่าเป็นคู่สัญญากับจำเลยนั้น  ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า  โจทก์ไม่ได้บรรยายในฟ้องว่าจำเลยเคยกู้เงินโจทก์มาก่อน ๒,๘๐๐ บาท  โจทก์จะนำสืบไม่ได้  เป็นการนอกประเด็นนั้น  เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องโจทก์นำสืบถึงความเป็นมาของจำนวนเงินกู้ตามที่ปรากฏในสัญญา  โจทก์จึงนำสืบได้  หาใช่นอกประเด็นไม่
พิพากษายืน

