แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บริษัทจำเลยและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลยู่ฮงจั่นเซ่งเฮง ได้ร่วมกันทำทัณฑ์บนให้ไว้ต่อกรมศุลกากรโจทก์ว่าจะใช้ถุงกระดาษที่บริษัทจำเลยสั่งเข้ามานั้นบรรจุผลิดภัณฑ์ภายใน 1 ปี เมื่อห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลยู่ฮงจั่นเซ่งเฮงได้ใช้ถุงกระดาษเพื่อกิจการนั้นไปบางส่วนแล้ว ก็เลิกกิจการค้าไป บริษัทจำเลยจึงได้ให้บริษัทไทวาเทรดดิ้งจำกัดผู้ประกอบอุตสาหกรรมใช้ถุงกระดาษนั้นบรรจุผลิตภัณฑ์ส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศแทนภายในกำหนด 1 ปีตามทัณฑ์บน การที่บริษัทจำเลยจัดให้มีการกระทำตามทัณฑ์บนได้และในทัณฑ์บนก็ไม่มีข้อความใดห้ามไม่ให้ผู้อื่นนอกจากผู้ทำทัณฑ์บนเป็นผู้ส่งออก เช่นนี้ จะว่าจำเลยทำผิดทัณฑ์บนหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ห้างหุ้นส่วนสามัยนิติบุคคลยู่ฮงจั่นเซ่งเฮง ได้ยื่นคำร้องต่อกรมศุลการโจทก์มอบให้บริษัทมิตรพานิชจำกัดจำเลยเป็นผู้สั่งซื้อถุงกระดาษมาเพื่อบรรจุแป้งมันสำปะหลังส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศโดยขอเสียอากรขาเข้าในประเภท ๑๒๔(ก) ทวิ กรมศุลกากรได้ให้บริษัทจำเลยและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลยู่ฮงจั่นเซ่งเฮงทำสัญญาทัณฑ์บนไว้ต่อกรมศุลกากร เมื่อถุงกระดาษดังกล่าวจำนวน ๒๐,๐๐๐ ถุงมาถึงท่าเรือกรุงเทพ จำเลยได้เสียอากรขาเข้าตามสัญญาทัณฑ์บนในพิกัดอัตราเป็นเงิน ๕,๕๐๐ บาทแล้ว ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลยู่ฮงจั่นเซ่งเฮงได้นำถุงกระดาษดังกล่าวบรรจุแป้งมันสำปะหลังส่งไปต่างประเทศ ๒,๑๐๖ ถุงถูกต้องตามสัญญาทัณฑ์บน ต่อมาบริษัทจำเลยได้ยื่นคำร้องต่อโจทก์ว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลยู่ฮงจั่นเซ่งเฮงถูกพิพากษาให้ล้มละลาย และขอเปลี่ยนสัญญาทัณฑ์บน ขอให้บริษัทไทวาเทรดดิ้งจำกัด เข้ามาเป็นคู่สัญญาแทน โจทก์ไม่อนุมัติ และโจทก์ได้แจ้งให้บริษัทจำเลยนำเงิน ๖๖,๐๐๐ บาทไปชำระแก่โจทก์ แต่บริษัทจำเลยเพิกเฉยเสีย ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต มีแต่จะเกิดการเสียหายแก่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแพ่งเห็นว่า การกระทำของจำเลยไม่ผิดสัญญาทัณฑ์บนดังฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่า บริษัทจำเลยทำการค้าโดยการสั่งสินค้าเข้าและส่งสินค้าออกไปต่างประเทศ ห้างหุ้นส่วนยู่ฮงจั่นเซ่งเฮงได้ขอให้บริษัทจำเลยสั่งถุงกระดาษสำหรับบรรจุแป้งมันสำปะหลังจากต่างประเทศเข้ามาจำนวน ๒๐,๐๐๐ ถุง การสั่งสินค้าประเภทนี้เข้ามาในราชอาณาจักรตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.๒๕๐๑ ประเภทที่๑๒๔(ก) ต้องเสียค่าอากรกิโลกรัมละ ๖ บาทแต่การสั่งสินค้านี้เข้าเพื่อบรรจุส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศซึ่งพิสูจน์ให้เป็นที่พอใจอธิบดีกรมศุลกากรเสียกิโลกรัมละ ๕๐ สตางค์ อธิบดีกรมศุลกากรอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.๒๔๖๙ มาตรา ๙๘ ให้บริษัทจำเลยและห้างหุ้นส่วนยู่ฮงจั่นเซ่งเฮงทำทัณฑ์บนไว้ ความว่า ถุงกระดาษจำนวน ๒๐,๐๐๐ ถุง ที่นำเข้ามานั้นจะนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่กฎหมายพิกัดอัตราศุลกากรบัญญัติไว้ตามประเภท ๑๒๔(ก) ทวิ และคำสั่งทั่วไปที่ ๘/๒๕๐๑ บังคับใช้ทุกประการ และจะบรรจุของส่งออกภายในกำหนด ๑ ปี นับแต่วันนำเข้า ถ้าไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามคำรับรองหรือปฏิบัติบกพร่องประการใด ๆ ยอมใช้เงินให้กรมศุลกากร ๖๖,๐๐๐ บาท
ครั้นถุงกระดาษจากต่างประเทศมาถึงแล้ว บริษัทจำเลยก็รับจากกรมศุลกากรมอบให้ห้างหุ้นส่วนยู่ฮงจั่นเซ่งเฮงไปทั้ง ๒๐,๐๐๐ ถุง ต่อมาเมื่อห้างนั้นใช้ถุงกระดาษบรรจุแป้งมันสำปะหลังส่งออกนอกแล้ว ๒,๑๐๖ ถุง ก็ถูกห้างหุ้นส่วนจำกัดโค้วจิ้นฮงฟ้องเรียกเงินฐานผิดสัญญาซื้อขายและขอยึดทรัพย์ก่อนคำพิพากษา ในที่สุดศาลพิพากษาให้ห้างหุ้นส่วนยู่ฮงจั่นเซ่งเฮงชำระหนี้ ๔๐,๐๐๐ บาทเศษ มีธนาคารแห่งอินโดจีนขอรับชำระหนี้จากทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนยู่ฮงจั่นเซ่งเฮงในฐานะผู้รับจำนำอีกรายหนึ่งก็เป็นที่ตกลงกัน แต่ถุงกระดาษที่ห้างหุ้นส่วนยู่ฮงจั่นเซ่งเฮงยังไม่ได้ใช้บรรจุของส่งไปต่างประเทศอีก ๑๔,๘๙๔ ถุง ครั้นห้างนี้เลิกกิจการไป บริษัทจำเลยจึงได้ถุงกระดาษคืนมาแล้ว ได้มีหนังสือถึงผู้อำนวยการกองแบบพิธีการค้าเข้าออก กรมศุลกากร ใจความว่า ห้างหุ้นส่วนยู่ฮงจั่นเซ่งเฮงได้เลิกล้มกิจการและถูกอายัดสินค้าทุกอย่างรวมทั้งถุงกระดาษด้วย แต่ถุงกระดาษนั้นบริษัทจำเลยได้รับกลับคืนมาอยู่ในความรับผิดชอบของตนแล้ว และได้ตกลงให้บริษัทไทวาเทรดดิ้งจำกัด ผุ้ประกอบการค้าส่งสินออกไปต่างประเทศเป็นผู้จัดทำแทนห้างหุ้นส่วนยู่ฮงจั่นเซ่งเฮงให้เสร็จสิ้นภายใน ๑ ปี นับตั้งแต่วันนำเข้ามา
คำขอนี้กรมศุลกากรไม่อนุมัติ ต่อมาจำเลยได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรมศุลการขอโอนถุงกระดาษทั้งหมดให้บริษัทไทวาเทรดดิ้งจำกัดใช้บรรจุแป้งมันส่งออกไปยังต่างประเทศและแจ้งว่าถุงกระดาษจำนวน ๑๑,๗๒๐ ถุง บริษัทไทวาเทรดดิ้งจำกัดได้ใช้ใส่ของออกนอกหมดแล้วส่วนที่เหลืออีก ๑๙๔ ถุง เป็นถุงชำรุดใช้การไม่ได้ แต่ทางกรมศุลกากรเห็นว่าควรบังคับตามทัณฑ์บน เพราะการที่บริษัทจำเลยนำถุงกระดาษจำหน่ายให้แก่บุคคลอื่นนั้น เป็นการไม่ชอบแต่บริษัทจำเลยไม่ชำระเงินตามทัณฑ์บน เพราะกรณีเป็นมาดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงได้ฟ้องเรียกเงินนั้นเป็นคดีนี้ขึ้น
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้ว ในการสั่งถุงกระดาษรายนี้เข้ามา ในชั้นต้นบริษัทจำเลยและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยู่ฮงจั่นเซ่งเฮงได้ร่วมกันทำทัณฑ์บนให้ไว้ต่อกรมศุลกากรโจทก์ว่าจะใช้ถุงนั้นบรรจุของส่งออกภายใน ๑ ปี แต่ต่อมาเมื่อห้างนั้นได้ใช้ถุงเพื่อกิจการนั้นไปบางส่วนแล้ว ก็มีอันเป็นต้องล้มเลิกกิจการค้าไป บริษัทจำเลยจึงได้ให้บริษัทไทวาเทรดดิ้งจำกัดใช้ถุงที่ยังเหลืออยู่เกือบทั้งหมดใช้บรรจุของส่งออกนอกภายในกำหนด ๑ ปีเช่นนี้ เห็นได้ว่าถุงกระดาษที่บริษัทจำเลยสั่งเข้ามานั้น ก็ได้ใช้เพื่อประโยชน์ในการส่งผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นในราชอาณาจักรไปต่างประเทศ ต้องตามเจตนารมณ์ดังที่กำหนดไว้โดยประเภทพิกัดอัตราที่ ๑๒๔(ก) ทวิ ที่ว่าถ้าสินค้าที่สั่งเข้ามาเพิ่อบรรจุของส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ คิดค่าอากรกิโลกรัมละ ๕๐ สตางค์ คำสั่งอธิบดีกรมศุลกากรที่ ๘/๒๕๐๑ ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๐๑ ก็ได้กำหนดไว้ในข้อสำคัญว่า สินค้านั้นจะต้องนำเข้ามาเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์เฉพาะบรรจุของที่เป็นผลิตภัณฑ์ภายในประเทศเพื่อส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศเท่านั้น และผู้นำเข้าจะต้องเป็นผู้ประกอบกิจการอุตสกหกรรมดดยตรงหรือจะให้ผู้อื่นสั่งแทน
ก็จะต้องมีหลักฐานผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมเป็นผู้ให้สั่ง และได้ตกลงกันไว้ก่อนนำของเข้า ซึ่งเป็นคำสั่งที่กำหนดไว้เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงสั่งสินค้าประเภทนั้นเข้ามาหาประโยชน์ทางอื่น มิใช่เพื่อบรรทุกสินค้าออก เมื่อผู้สั่งเดิมมีเหตุจำเป็นไม่สามารถทำการค้าส่งผลิตภัณฑ์ออกไปต่างประเทศได้และบริษัทจำเลยให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมรายอื่นดำเนินการแทน ก็ย่อมได้ชื่อว่าได้ใช้ถุงกระดาษนั้นบรรจุของที่เป็นผลิตภัณท์ภายในประเทศออกไปจำหน่ายต่างประเทศเช่นกัน เมื่อบริษัทจำเลยจักให้มีการกระทำตามทัณฑ์บนได้ และในทัณฑ์บนนั้นก็ไม่มีข้อความใดห้ามไม่ให้ผู้อื่นเป็นผู้ส่งออกเช่นนี้ จะว่าบริษัทจำเลยทำผิดทัณฑ์บนหาได้ไม่
พิพากษายืน