แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อที่ว่าจำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยที่ 2,3 เข้าอยู่ในที่ดินเพื่อกรีดยางของโจทก์นั้น ไม่ปรากฏในคำฟ้องของโจทก์ จึงไม่มีประเด็นจะพึงวินิจฉัย
โจทก์มิได้นำสืบว่าจำเลยที่ 1 ร่วมในการกระทำละเมิด จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2,ที่ 3
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามขัดขวางไม่ยอมส่งมอบที่ดินตามสัญญา จำเลยที่ 1 ยังให้จำเลยที่ 2 แจ้งการครอบครองแบบ ส.ค.1 เลขที่ 288/98 ในที่ของโจทก์เพื่อฉ้อโกงโจทก์ จำเลยทั้งสามละเมิดสิทธิของโจทก์เก็บผลน้ำยางพาราวันละ 3 แผ่น เป็นเงินวันละ 30 บาทตลอดมา โจทก์ได้รับความเสียหายดังนี้ถือได้ว่า คำฟ้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
จำเลยที่ 2 ที่ 3 เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ซึ่งเช่าจากโจทก์ อันเป็นการยึดถือแทนโจทก์ หาได้เข้าอยู่อย่างเป็นเจ้าของไม่ เมื่อจำเลยทั้งสามมิได้บอกกล่าวการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังโจทก์ ก็ต้องถือว่าจำเลยทั้งสามยังคงยึดถือแทนโจทก์ตามเดิม ที่พิพาทจึงเป็นของโจทก์
จำเลยอ้างว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครอง จึงเป็นกรณีตามที่มีบัญญัติไว้ในมาตรา 1375 และเมื่อฟังว่าจำเลยทั้งสามยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ซึ่งเท่ากับโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทอยู่ตลอดมา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ให้จำเลยที่ ๑ เช่าสวนของโจทก์ ๒๕ ไร่ จำเลยที่ ๒, ๓ เป็นบริวาร ครั้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๐๒ โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่า จำเลยที่ ๑ อ้างว่าที่ดินที่เช่า ๓ ไร่เป็นของจำเลยที่ ๑ โจทก์จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยที่ ๑ ยอมรับว่าได้ทำสัญญาเช่าที่ดินโจทก์ ๒๕ ไร่จริง และที่ดิน ๓ ไร่ นั้นเป็นของโจทก์ ยอมให้จำเลยที่ ๑ มีสิทธิเก็บกินในที่ดิน ๓ ไร่นั้นตลอดชีวิต จำเลยที่ ๑ ยอมรับว่าผลของสัญญานี้บังคับถึงจำเลยที่ ๒ และ ๓ ซึ่งเป็นบริวารของจำเลยที่ ๑ ด้วย ต่อมาวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๐๒ จำเลยทั้งสามไม่ยอมส่งมอบที่ดินตามสัญญาจำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๒ แจ้งการครอบครองในที่เช่าของโจทก์อีก ๔ ไร่ จำเลยทั้งสามละเมิดสิทธิของโจทก์เก็บผลน้ำมันยางเป็นเงินวันละ ๓๐ บาท ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา และขอให้แสดงว่าที่ดิน ๔ ไร่เป็นของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าน้ำยางแต่วันขัดขวางถึงวันฟ้อง ๓,๐๐๐ บาท และวันต่อ ๆ ไป วันละ ๓๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในจำนวนเงิน ๓,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ จำนวน ๓ ไร่ เป็นของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จำนวน ๔ ไร่ นอกนั้นเป็นของนางไหม จำเลยที่ ๑ ไม่เคยเช่าที่โจทก์ แม้จะมีสัญญาเช่า ก็เพราะโจทก์และพรรคพวกใช้อุบายข่มขู่ให้ทำสัญญา จำเลยทั้งสามเข้าครอบครองตลอดมากว่า ๒๐ ปีแล้ว โจทก์ไม่เคยเข้าเกี่ยวข้อง ค่าเสียหายไม่เป็นความจริง โจทก์ฟ้องเคลือบคลุม คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์จำเลยทำไว้ที่อำเภอ ที่ดิน ๔ ไร่ ที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เข้ากรีดยางเป็นที่ดินของโจทก์รวมอยู่ในที่ดิน ๒๕ ไร่ ที่จำเลยที่ ๑ เช่าจากโจทก์ ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ใช้ค่าน้ำยางนับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้อง ๑,๖๐๐ บาท และให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ใช้ค่าน้ำมันยางนับแต่วันฟ้องแก่โจทก์วันต่อ ๆ ไปวันละ ๑๖ บาท จนกว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จะมอบที่ดินให้โจทก์ และให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เสียดอกเบี้ยในเงิน ๑,๖๐๐ บาท นับแต่วันฟ้อง
โจทก์จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ ยอมให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เข้าอยู่ในที่ดินเพื่อกรีดยางของโจทก์นั้น ข้ออ้างดังกล่าวไม่ปรากฏในคำฟ้องของโจทก์ จึงไม่มีประเด็นจะพึงวินิจฉัย ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยที่ ๑ ยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ นั้น แม้ตามสัญญาประนีประนอม จำเลยที่ ๑ ยอมรับว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และยอมรับว่าผลของสัญญานี้บังคับตลอดถึงบริวารของจำเลยที่ ๑ คือ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ด้วย แต่ในข้อที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสามละเมิดสิทธิโจทก์เก็บผลน้ำยางพารานั้น นำสืบเพียงว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เท่านั้นเป็นผู้เข้ากรีดยางในที่พิพาทอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ มิได้นำสืบว่าจำเลยที่ ๑ ร่วมในการละเมิดนี้ ยังไม่พอถือว่าจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓
ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ นั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า”จำเลยทั้งสามขัดขวางไม่ยอมส่งมอบที่ดินตามสัญญา ๔ ไร่ จำเลยที่ ๑ ยังให้จำเลยที่ ๒ แจ้งการครอบครองแบบ ส.ค. ๑ เลขที่ ๒๘๘/๙๘ ในที่ของโจทก์เพื่อฉ้อโกงโจทก์……….. จำเลยทั้งสามละเมิดสิทธิของโจทก์เก็บผลน้ำยางพาราวันละ ๓ แผ่น เป็นเงินวันละ ๓๐ บาทตลอดมา โจทก์ได้รับความเสียหาย” ถือได้ว่าคำฟ้องนี้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้เข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเช่าจากโจทก์ อันเป็นการยึดถือแทนโจทก์ หาได้เข้าอยู่อย่างเป็นเจ้าของไม่ เมื่อจำเลยทั้งสามได้บอกกล่าวการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังโจทก์ ก็ต้องถือว่าจำเลยทั้งสามยังคงยึดถือแทนโจทก์ตามเดิม ที่ดินพิพาทเนื้อที่ ๔ ไร่ จึงเป็นของโจทก์
ที่จำเลยฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องตามมาตรา ๑๓๗๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นั้น เห็นว่าจำเลยอ้างว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครอง จึงเป็นกรณีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓๗๕ และเมื่อฟังว่าจำเลยทั้งสามยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ ซึ่งเท่ากับโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทอยู่ตลอดเวลา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในคดีนี้ได้ พิพากษายืน