แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่หญิงยินยอมร่วมประเวณีกับชายโดยถูกหลอกลวงว่าจะรับเลี้ยงดูและจะทะเบียนนั้น ไม่ถือว่าเป็นความผิดฐานละเมิด หญิงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากชาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ได้ยินยอมร่วมประเวณีกับจำเลยโดยจำเลยรับรองว่าจะเลี้ยงดูโจทก์และจดทะเบียนการสมรส ครั้นต่อมาจำเลยก็ละทิ้งไป โจทก์จึงรู้สึกว่าจำเลยหลอกลวงให้โจทก์ยอมเสียตัวเป็นภริยา เป็นการละเมิดต่อเสรีภาพและชื่อเสียง จึงขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนสมรสและรับเลี้ยงดู ถ้าบังคับไม่ได้ให้จำเลยเสียค่าทดแทนเป็นเงิน ๔๐๐ บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ร่วมประเวณีกับโจทก์ แต่ไม่ได้หลอกลวง
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยหลอกลวงล่วงประเวณีทำให้เสียหายแก่ร่างกายและชื่อเสียงของโจทก์เป็นการจงใจละเมิด พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๔๐๐ บาท
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์มาแต่แรก และเห็นว่าจำเลยผิดคำมั่นสัญญาที่จะรับเลี้ยงดูโจทก์ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิด โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายไม่ได้ จึงให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้ยินยอมร่วมประเวณีกับจำเลย และแม้โจทก์จะได้ยินยอมโดยถูกจำเลยหลอกลวงให้โจทก์หลงเชื่อว่าจะเลี้ยงดู จำเลยก็ไม่ได้ละเมิดสิทธิของโจทก์ เพราะจะเลยไม่ได้กระทำผิดกฎหมายอันจะเป็นการละเมิดตาม ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา ๔๒๐ จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์