แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บ.ผู้ถือประทานบัตรทำเหมืองแร่ถึงแก่กรรม  ทรัพย์สินของบ. ได้โอนตกมาเป็นของบริษัทโจทก์  รวมทั้งประทานบัตรรายนี้ด้วย  การที่คณะรัฐมนตรีต้องเป็นผู้อนุมัติให้บริษัทโจทก์ถือประทานบัตรสืบเนื่องจาก บ. ก็เพราะ พ.ร.บ. การทำเหมืองแร่  พ.ศ. 2461 มาตรา 46  บัญญัติให้เป็นอำนาจของรัฐบาลที่จะอนุญาตในกรณีเข้าถือประทานบัตรสืบเนื่องจากเจ้าของเดิมผู้ถึงแก่กรรม  ไม่ใช่เป็นเรื่องโจทก์ยื่นเรื่องราวขอประทานบัตรขึ้นมาใหม่เป็นคนละรายต่างหาก   บ.โจทก์จึงรับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่
ผ. ทำสัญญาให้ไว้แก่ บ. ยอมให้ บ. ทำเหมืองแร่ในที่ดินของ ผ.  ได้ตามเรื่องราวที่ขอประทานบัตร  ต่อมา บ. ถึงแก่กรรมและบริษัทโจทก์ถือประทานบัตรนี้สืบเนื่องจาก บ. ตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ดังกล่าวแล้ว  ฝ่ายผ. ก็ถึงแก่กรรมและที่ดินของ ผ.  ก็เป็นมรดกตกทอดแก่จำเลย  โจทก์จำเลยย่อมรับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่ของเจ้าของเดิม  เมื่อจำเลยขัดขวางไม่ยอมให้บริษัทโจทก์เข้าทำเหมืองแร่ในที่ดินนี้  โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องร้องบังคับจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์เป็นผู้ถือประทานบัตรทำเหมืองแร่ดีบุกที่ตำบลฉลอง  โดยได้รับโอนประทานบัตรมาจากนายบุ่นจ่าว  มีสิทธิที่จะใช้ที่ดินภายในเขตประทานบัตรเพื่อประโยชน์ในกิจการเหมืองแร่ของโจทก์  เมื่อโจทก์เริ่มดำเนินกิจการ  จำเลยขัดขวางไม่ยอมให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินตอนสีแดงตามแผนที่ท้ายฟ้อง  เฉพาะที่ดินที่จำเลยขัดขวางนี้เดิมเป็นของนานผ่าว  นายผ่าวได้ทำสัญญารับรองไว้กับโลหกิจภูเก็ตแล้วว่านิยยอมให้โจทก์ดำเนินกิจการเหมืองแร่ในที่พิพาทได้  จำเลยเป็นทายาทของนายผ่าวจึงไม่มีสิทธิขัดขวางกิจการทำเหมืองแร่ของโจทก์ในที่พิพาทขอให้ห้ามมิให้ขัดขวาง
จำเลยให้การว่า  เดิมที่ดินเป็นของนายผ่าว  นายผ่าวตาย จำเลยได้รับมรดกแทนที่สามีซึ่งเป็นบุตรนายผ่าว  คือที่พิพาทนี้ นายผ่าวจะได้เอาที่พิพาททำสัญญารับรองไว้ตามฟ้องหรือไม่ไม่ทราบ  กับต่อสู้ในข้ออื่นอีก
ในการชี้สองสถาน  คู่ความติดใจว่ากล่าวกันเพียง ๒ ประเด็น คือ
๑. นายผ่าวได้ทำสัญญาผูกพันกับนายบุ่นจ่าวหรือบริษัทโจทก์หรือโลหกิจจังหวัดภูเก็ตยอมให้โจทก์ดำเนินกิจการหมืองแร่ในที่พิพาทจริงหรือไม่และ
๒. โจทก์ได้รับประทานบัตรตามกฎหมายแล้ว  จะมีสิทธิทำเหมืองแร่ในที่พิพาทได้หรือไม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาห้ามมิให้จำลยขัดขวางใสนการที่โจทก์ดำเนินกิจการทำเหมืองแร่ในที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาตามประเด็นที่คู่ความติดใจว่ากล่าวกัน ๒ ประเด็นนั้น  แล้วเห็นว่า
ประเด็นข้อแรก  ฟังว่านายผ่าวได้ทำสัญญาผูกพันยอมให้นายบุ่นจ่าวดำเนินกิจการเหมืองแร่ในที่ขิงตนซึ่งรวมทั้งที่พิพาทได้
ประเด็นข้อ ๒  นั้น  ฟังได้ว่าเมื่อนายบุ่นจ่าวถึงแก่กรรมแล้ว  ทรัพย์สินของนายบุ่นจ่าวได้โอนตกมาเป็นของบริษัทโจทก์  การที่โจทก์ได้เป็นผู้ถือประทานบัตรรายนี้  ต่อมาจึงเป็นเรื่องที่โจทก์รับสืบเนื่องมาจากนายบุ่นจ่าวผู้ถึงแก่รกรรมตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ พ.ศ. ๒๔๖๑  มาตรา ๔๖  หาใช่เป็นเรื่องขอประทานบัตรใหม่อันเป็นคนละรายไม่  การที่คณะรัฐมนตรีต้องเป็นผู้อนุมัติให้บริษัทโจทก์ถือประทานบัตรสืบเนื่องจากนายบุ่นจ่าว  ก็เพราะกฎหมายมาตราดังกล่วนั้นบัญญัติให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีที่จะอนุญาตในกรณีนี้ต่างหาก  เมื่อเป็นเรื่องโจทก์ถือประทานบัตร  โดยรับโอนสืบเนื่องมาจากนายบุ่นจ่าวเจ้าของเดิม  โจทก์จึงรับโอนมาทั้งสิ้นและหน้าที่ของนายบุ่นจ่าวที่มีอยู่ตามประทานบัตรนั้น  สัญญาที่นายผ่าวให้ไว้แก่นายบุ่นจ่าวจึงได้ตกทอดมายังโจทก์ด้วย  จำเลยผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทมาจากนายผ่าวโดยทางมรดก  ก็ย่อมรับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่ของนายผ่าวซึ่งทำสัญญาผูกพันที่พิพาทให้ไว้แก่นายบุ่นจ่าวในอันที่ะต้องให้ความยินยอมและละเว้นไม่คัดค้านการเข้าทำเหมืองแร่ในที่พิพาทตามประทานบัตรด้วย  ฉะนั้น
เมื่อโจทก์เป็นผู้สืบสิทธิอันเกี่ยวกัาบประทานบัตรนี้มาจากนายบุ่นจ่าวตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ดังกล่วาแล้ว  โจทก์ก็ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายที่นายบุ่นจ่าวมีอยู่ในประทานบัตรในนามของตนเองเอากับจำเลยได้  เมื่อจำเลยขัดขวางไม่ยอมให้เป็นไปตามข้อสัญญาเดิม  โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลย
พิพากษากลับ  ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

