แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สามีไม่ทำมาหากินอย่างใด ภรรยาบอกให้ทำงานมาเลี้ยงครอบครัวก็โกรธ และขนของออกจากบ้านไปได้หญิงอื่นเป็นภรรยาในเวลากระชั้นชิด ไปแล้วไม่ส่งเงินเลี้ยงดูภรรยากับบุตรเลย แสดงว่าสามีจงใจละทิ้งภรรยา ภรรยาก็ไม่มีความจำเป็นต้องติดตามไปอยู่กับสามี สามีจะอ้างว่าตนเป็นฝ่ายมีสิทธิจะเลือกภูมิลำเนา ให้ภรรยามีหน้าที่ติดตามไปอยู่กับตนหาได้ไม่ เมื่อสามีทิ้งร้ายไปเกิน 1 ปี ภรรยาก็มีสิทธิขอหย่าได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอหย่ากับจำเลย ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์จำเลยได้แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกัน แล้วอยู่กินกันที่บ้านบิดามารดาของโจทก์ เกิดบุตรด้วยกัน ๑ คน เมื่อบุตรอายุได้ ๑ ขวบ โจทก์ไม่เห็นจำเลยทำมาหากินแต่อย่างใด จึงบอกให้จำเลยไปทำมาหากิน จำเลยโกรธ เกิดทะเลาะกัน แล้วจำเลยก็ขนเสื้อผ้าข้าวของออกจากบ้านโจทก์ไปอยู่บ้านจำเลย ต่อมาจำเลยได้นางเจ๊กเป็นภรรยา เกิดบุตรด้วยกัน ๓ คน เมื่อจำเลยออกจากบ้านโจทก์ไปแล้วไม่เคยมาเยี่ยมเยียนโจทก์หรือบุตร ทั้งไม่เคยส่งเสียเลี้ยงดูโจทก์กับบุตรจนบัดนี้ ๑๐ ปีเศษแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย กับให้จำเลยส่งเงินเลี้ยงดูอุปการะเลี้ยงดูบุตรโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่าจำเลยเป็นสามีโจทก์ จึงเป็นฝ่ายมีสิทธิจะเลือกภูมิลำเนาได้ โจทก์มีหน้าที่จะต้องติดตามไปอยู่กับจำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่า ในฐานะที่สามีเป็นผู้ทำเลี้ยงครอบครัว สามีก็ชอบที่จะเป็นผู้เลือกที่อยู่ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจำเลยเลือกที่อยู่ให้โจทก์ หากเป็นเรื่องจำเลยละทิ้งโจทก์ โดยจำเลยไม่หาเลี้ยงครอบครัว โจทก์บอกให้จำเลยทำงานมาเลี้ยงครอบครัว จำเลยโกรธจึงออกจากบ้านไปได้นางเจ๊กเป็นภรรยาในเวลากระชั้นชิดกันนั้น เมื่อไปแล้วก็ไม่เคยส่งเงินเลี้ยงดูโจทก์หรือบุตรเลย แสดงให้เห็นชัดว่าจำเลยจงใจละทิ้งโจทก์ ๆ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องติดตามไปอยู่กับจำเลย เมื่อจำเลยทิ้งร้างไปเกิน ๑ ปี โจทก์ก็มีสิทธิขอหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐๐ (๓)
พิพากษายืน