คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1365/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเช่าห้องโจทก์ซึ่งเป็นตึกแถวสองชั้น ตามสัญญาระบุว่าเช่าเพื่อค้าขายห้องพิพาทตั้งอยู่ในทำเลการค้าและจำเลยก็ได้เปิดร้านซักรีดเป็นอาชีพอย่างเดียวถึง 2 ปี เพิ่งจะมาเลิกร้านค้าเมื่อหมดอายุการเช่าเท่านั้น เช่นนี้ ห้องพิพาทนั้นก็ยังหาเป็นเคหะไม่ และย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าตึกจากโจทก์เพื่อใช้ประกอบการค้า มีกำหนด ๒ ปี ครบกำหนดไม่ยอมออกขอให้ขับไล่
จำเลยให้การว่าเช่าอยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ พ.ศ. ๒๔๘๙
ศาลชั้นต้นฟังว่า ห้องพิพาทเป็นเคหะพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์โดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งรับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากตึกพิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาแล้ว สัญญาเช่าระบุว่า เช่าเพื่อค้าขาย อยู่อาศัยทำการค้า เห็นว่าลำพังข้อสัญญาก็แสดงออกโดยคู่สัญญาในเบื้องต้นแล้วว่ามีเจตนาทำสัญญาให้เช่าและเช่าเพื่อทำการค้า เฉพาะพฤติการณ์ดังจำเลยกล่าว ก็แสดงชัดเจนถึงเจตนาอันแท้จริงว่าเช่าเพื่อทำการค้า เพราะจำเลยได้ทำการค้าจริง นอกจากนี้ ปรากฏตามบันทึกการดูที่พิพาทของศาลว่า ตรอกที่ตั้งห้องพิพาทติดต่อกับถนนบำรุงเมือง เป็นตรอกกว้างถึง ๖ เมตร สองฟากตรอกเป็นตึกแถว ๒ ชั้นเป็นห้องคนอยู่อาศัยอย่างเดียวประมาณครึ่งหนึ่ง นอกนั้นเป็นร้านขายกาแฟ ขายเครื่องชำ ช่างทำเครื่องเงิน ขายข้าวสาร ขายก๋วยเตี๋ยว ตัดผม และเย็บกระเป๋าหนัง ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสภาพดังกล่าวนี้ย่อมเป็นทำเลทำการค้าได้ เพราะเป็นตรอกที่กว้างขวาง ไม่ลึกจากถนนใหญ่และอยู่ในชุมนุมชน อาคารในตรอกเป็นตึกแถว ๒ ชั้นทั้งสองฟาก เป็นหลักเป็นฐานอาจทำการค้าเป็นล่ำสันได้ จำเลยเองก็ว่าเมื่อเลิกรับจ้างซักผ้าแล้วจึงได้หากินทางสอนหนังสือและปรากฏว่าจำเลยเลิกร้านซักรีดเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๑ เป็นต้นมา แสดงว่าจำเลยได้ยึดถือการเปิดร้านซักรีดเป็นอาชีพอย่างเดียวและทำมาเป็นเวลาถึง ๒ ปีเศษ
เพิ่งเลิกไปภายหลังหมดอายุสัญญาเช่าแล้ว เช่นนี้เป็นการที่จำเลยได้ประกอบการค้าเป็นล่ำสันตามเจตนาในการเช่าโดยตรง ห้องพิพาทจึงไม่เป็นเคหะ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share