แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พินัยกรรมตามแบบมาตรา 1656 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน ซึ่งพยานสองคนนั้นต้องลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมไว้ในขณะนั้นจึงจะสมบูรณ์ จึงต้องฟังข้อเท็จจริง (ให้) ได้ (ความ) ว่า มีการกระทำถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด มิใช่เพียงแต่ฟังตามตัวหนังสือที่เขียนขึ้นไว้ พินัยกรรมที่มีบันทึกผู้รู้เห็นเป็นพยาน 5 คน แต่คนหนึ่งในจำนวนนี้ไม่ได้ลงชื่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างพยานที่ลงชื่อ 4 คนนี้มาสืบว่า 3 คนในจำนวนนี้เซ็นชื่อลับหลังผู้ทำพินัยกรรม คงมีคนเดียวที่ผู้ทำพินัยกรรมพิมพ์ลายมือต่อหน้า ดังนี้ แม้จะเป็นการสืบพยานแก้ไขข้อความในเอกสาร แต่ก็เป็นการนำสืบเพื่อแสดงความไม่สมบูรณ์ของเอกสารนั้น ย่อมนำสืบได้
ก.จำเลยกับ ฮ.บุตรของเจ้ามรดกตกลงแบ่งมรดกกัน โดย ก.จำเลยตกลงแบ่งที่ดินหมายเลข 4 ให้ฮ. ฮ.ก็ตกลงแบ่งที่ดินหมายเลข 5 ให้ ก. จำเลย และต่างทำเป็นหนังสือสละมรดกโดยต่างทำให้แก่กัน เมื่อปรากฏว่า ก.ไม่ใช่ทายาทของเจ้ามรดก เพราะเป็นแต่สะใภ้ไม่มีอำนาจแบ่งมรดกได้ ข้อตกลงนี้ก็ไม่สมบูรณ์ และหนังสือนี้เป็นแต่ข้อตกลงในการแบ่งทรัพย์มรดกเท่านั้น มิใช่เป็นการสละมรดกตามกฎหมาย เพราะยังมีข้อผูกพันจะต้องแบ่งมรดกบางส่วนตอบแทนให้ ฮ. ทายาทอื่นที่มิใช่คู่สัญญาหามีสิทธิจะอ้างข้อตกลงนี้ (หนังสือที่ฮ.ทำ) เป็นประโยชน์แก่ตนไม่
พินัยกรรมที่ทำขึ้นผิดแบบตามมาตรา 1656 เป็นโมฆะตามมาตรา 1705 ไม่เป็นพินัยกรรมเสียแล้ว ความเสียเปล่านี้ผู้มีส่วนได้เสียจะกล่าวอ้างขึ้นก็ได้ หาต้องฟ้องขอให้เพิกถอนไม่ ตามมาตรา 1710 ใช้เฉพาะเมื่อเป็นพินัยกรรมแล้วเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายคำใหม่และนางอิ่งมีบุตร 2 คน คือ นายส่างหมีและโจทก์ นายส่างหมีตายเมื่อราว พ.ศ. 2486 แต่มีบุตร 7 คน คือจำเลยที่ 2, 3 กับผู้อื่นอีก ต่อมา พ.ศ. 2491 นายคำใหม่ตายทรัพย์สินทั้งหมดตกอยู่กับนางอิ่งตลอดมา ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2502 นางอิ่มเจ้ามรดกตาย มีทรัพย์เป็นมรดกตามบัญชีท้ายฟ้อง จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดูแลและอาศัยอยู่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงจะแบ่งมรดกและโจทก์ได้ขอรังวัดกับประกาศรับมรดก จำเลยที่ 3 คัดค้านและอ้างว่ามีพินัยกรรมที่นางอิ่งทำไว้ โจทก์ดูแล้วปรากฏว่าพินัยกรรมมีพิรุธ พยานไม่ได้เห็นผู้ทำพินัยกรรมพิมพ์ลายนิ้วมือ ทั้งจำเลยที่ 2 ผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมเรียงเขียนเอง จึงเป็นโมฆะขอให้พิพากษาแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ครึ่งหนึ่งและทำลายพินัยกรรม
จำเลยให้การว่า มรดกรายนี้มีพินัยกรรมโดยชอบ ที่โจทก์อ้างว่าขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1653 ก็คงเสียสิทธิไปเฉพาะตัวจำเลยที่ 2 เท่านั้น หากโจทก์ถือว่าพินัยกรรมไม่ชอบก็ชอบที่จะฟ้องให้เพิกถอนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด คดีขาดอายุความแล้ว ทั้งโจทก์ได้เคยทำหนังสือสละสิทธิการรับมรดกให้จำเลยยึดถือไว้ด้วยและจำเลยยังให้การต่อสู้ในข้ออื่นอีก
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าพินัยกรรมเป็นโมฆะ ให้แบ่งทรัพย์มรดกอันดับ 4 และ 5 กับข้าวเปลือก 70 ถัง ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยแบ่งทรัพย์อันดับ 3, 4, 5 และ 6 กับข้าวเปลือก 70 ถัง ให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 กึ่งหนึ่ง
จำเลยทั้งสามฎีกาทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง
ในข้อกฎหมาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
1. ในเรื่องพินัยกรรม จำเลยฎีกาว่าเอกสารพินัยกรรมมีข้อความบันทึกว่าผู้เป็นพยานได้เห็นนางอิ่งพิมพ์ลายนิ้วมือด้วยตนเองต่อหน้าพยาน การที่ศาลรับฟังพยานบุคคลว่านางอิ่งไม่ได้พิมพ์ลายนิ้วมือต่อหน้าพยานนั้น เป็นการสืบแก้ไขถ้อยคำของตนเองในบันทึกศาลฎีกาเห็นว่ากฎหมายกำหนดพินัยกรรมไว้หลายแบบ ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656 กำหนดไว้แบบหนึ่ง แบบนี้ผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน ซึ่งพยานสองคนนั้นต้องลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมไว้ในขณะนั้นจึงจะสมบูรณ์ ต้องฟังข้อเท็จจริงได้ว่ามีการกระทำถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด มิใช่เพียงแต่ฟังตามตัวหนังสือที่เขียนขึ้นไว้ พินัยกรรมในคดีนี้มีบันทึกผู้รู้เห็นเป็นพยานถึง 5 คนแต่คนหนึ่งไม่ได้ลงชื่อ โจทก์ได้อ้างพยานอีก 4 คนที่ลงชื่อนั้นมาเบิกความ ได้ความว่าพยานที่เห็นนางอิ่งลงชื่อในพินัยกรรมมีคนเดียว ส่วนอีก 3 คนนั้นเซ็นชื่อเป็นพยานลับหลังการนำสืบเช่นนี้แม้จะสืบพยานแก้ไขข้อความในเอกสาร แต่เป็นการนำสืบเพื่อแสดงความไม่สมบูรณ์ของเอกสารนั้น ย่อมนำสืบได้
2. เรื่องหนังสือสละมรดก ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 กับโจทก์ต่างตกลงแบ่งมรดกที่ดินกัน โดยจำเลยที่ 1 ตกลงแบ่งที่ดินหมายเลข 4 ให้โจทก์ โจทก์ก็ตกลงแบ่งที่ดินหมายเลข 5 ให้จำเลยที่ 1 เจ้าหน้าที่อำเภอแนะนำวิธีให้ทำเป็นหนังสือสละมรดกโดยต่างทำให้แก่กัน โจทก์จึงทำหนังสือสละสิทธิในกองมรดกให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ทายาทของนางอิ่งเพราะเป็นแต่สะใภ้ ไม่มีอำนาจแบ่งมรดกได้ ข้อตกลงนี้ก็ไม่สมบูรณ์หนังสือนี้เป็นแต่ข้อตกลงในการแบ่งทรัพย์มรดกเท่านั้น มิใช่เป็นการสละมรดกตามกฎหมายเพราะยังมีข้อผูกพันจะต้องแบ่งมรดกบางส่วนตอบแทนให้โจทก์ ทายาทอื่นที่มิใช่คู่สัญญาหามีสิทธิจะอ้างข้อตกลงนี้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่
3. เรื่องอายุความ จำเลยฎีกาว่า คดีขอเพิกถอนข้อกำหนดพินัยกรรมต้องฟ้องภายใน 3 เดือน ว่าคดีขาดอายุความแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1710 ศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องพินัยกรรมที่ทำขึ้นผิดแบบเป็นโมฆะตามมาตรา 1705ไม่เป็นพินัยกรรมเสียแล้ว ความเสียเปล่านี้ผู้มีส่วนได้เสียจะกล่าวอ้างขึ้นก็ได้ หาต้องฟ้องขอให้เพิกถอนไม่ บทกฎหมายที่จำเลยฎีกาใช้เฉพาะเมื่อเป็นพินัยกรรมแล้วเท่านั้น
ผลที่สุดศาลฎีกาแก้เฉพาะที่เกี่ยวกับทรัพย์บางอันดับโดยอาศัยข้อเท็จจริง