คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1072/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นเจ้าคณะอำเภอ ฟ้องหาว่าจำเลยกล่าวคำหมิ่นประมาทใส่ความว่าโจทก์เข้าหานางชีที่ห้องวิปัสสนา เป็นเหตุให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังนั้น จำเลยขอพิสูจน์ความจริงได้ เพราะการพิสูจน์ความจริงของจำเลยย่อมเป็นประโยชน์แก่ประชาชน เนื่องจากประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ผู้เป็นศาสนิกชนย่อมหวงแหนที่จะมิให้ผู้ใดมาทำลายหรือทำความมัวหมองให้แก่พุทธศาสนาที่ตนนับถือ ยิ่งเมื่อจำเลยมาพิสูจน์ความจริงให้ประจักษ์ต่อศาลได้ ก็เป็นประโยชน์แก่ผู้คนทั่วไปที่จะได้ไม่มัวหลงเคารพเลิ่อมใสโจทก์ต่อไป
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 24/2507)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ก.เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๐๒ เวลากลางวัน จำเลยสมคบกันกล่าวคำหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าคณะอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย โดยจำเลยที่ ๑ กล่าวกับพระวินัยธรจันทร์ อ่อนพรหม เจ้าอาวาสวัดดอนไชย ว่าโจทก์เข้าหานางชีประเสริฐ สุขนิตย์ที่ห้องวิปัสสนา โดยมีจำเลยที่ ๓ เป็นผู้พบเห็นและได้มาตามจำเลยที่ ๑ ไปดูเหตุการณ์พร้อมจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้เปิดประตูห้องวิปัสสนาพบโจทก์นั่งอยู่ในห้องนางชีประเสริฐและจำเลยที่ ๒ ได้กล่าวสนับสนุนถ้อยคำของจำเลยที่ ๑ ว่า เมื่อจำเลยที่ ๒ เปิดประตูห้องแล้วได้พบโจทก์นั่งคลุมโปงอยู่ในห้องนางชีประเสริฐ จำเลยที่ ๒ ดึงผ้าคลุมโปงออก เห็นว่าผู้นั้นคือโจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๓ กล่าวสนับสนุนถ้อยคำจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ว่า ถ้อยคำที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ กล่าวนั้นเป็นจริงทุกประการทั้งกล่าวเสริมว่า โจทก์ไม่น่ากระทำเลยเพราะบวชมานานแล้วเสียผ้าเหลือง
ข.ระหว่างวันที่ ๒ ถึง ๕ ธันวาคม ๒๕๐๒ และ ค.ระหว่างวันที่ ๑๑ ถึง ๑๓ ธันวาคม ๒๕๐๒ เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามกล่าวคำหมิ่นประมาทโจทก์ โดยกล่าวต่อพระภิกษุสำราญ โตสวัสดิ์ และพระมหาพู ศรีสุชาติ ว่าจำเลยต้องย้ายวัดเพราะโจทก์ประพฤติไม่ดี เข้าหานางชีประเสริฐ คำกล่าวของจำเลยทั้งสามไม่เป็นความจริง เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูดูหมิ่นเกลียดชัง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖
โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๓ ศาลอนุญาต
จำเลยที่ ๑-๒ ปฏิเสธว่ามิได้กระทำผิด
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าข้อความที่จำเลยกล่าวเป็นความจริง มิใช่กลั่นแกล้งโจทก์ ข้อความที่จำเลยกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับพุทธศาสนา และเป็นประโยชน์แก่ประชาชน จำเลยย่อมพิสูจน์ความจริงได้ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา ๓๓๐ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายซึ่งโจทก์ฎีกาว่าจำเลยไม่มีสิทธิพิสูจน์ความจริงได้
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความในวรรคแรกของมาตรา ๓๓๐ ที่บัญญัติว่า ถ้าผู้ถูกหาว่ากระทำผิดพิสูจน์ได้ว่า ข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษนั้น ย่อมเป็นข้อบัญญัติที่แสดงว่า ในกรณีหมิ่นประมาทนั้น กฎหมายยอมให้พิสูจน์ความจริงได้ ซึ่งเมื่อพิสูจน์ได้ว่าข้อความที่กล่าวเป็นความจริง กฎหมายก็ไม่เอาโทษ ส่วนข้อความในวรรค ๒ ซึ่งบัญญัติห้ามมิให้พิสูจน์ในเมื่อเป็นกรณีดังที่วรรค ๒ ่นี้ระบุไว้ ย่อมแสดงว่าข้อความในวรรค ๒ นี้ เป็นบทบัญญัติยกเว้นจากวรรคแรกอันแสดงว่า วรรคแรกเป็นบทบัญญัติซึ่งเป็นหลักใหญ่ ส่วนวรรค ๒ เป็นบทบัญญัติอันเป็นข้อยกเว้น การห้ามมิให้พิสูจน์ความจริงตามมาตรา ๓๓๐ วรรค ๒ จะต้องประกอบด้วยเหตุ ๒ประการ คือ ๑ ข้อที่หาว่าหมิ่นประมาทนั้น เป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว ๒.การพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ฉะนั้น ถ้าไม่ต้องด้วยเหตุ ๒ ประการนี้แล้ว ผู้ถูกหาว่าหมิ่นประมาท ก็ย่อมพิสูจน์ความจริงได้ สำหรับกรณีในคดีเรื่องนี้ การพิสูจน์ความจริงของจำเลยจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนหรือไม่ศาลฎีกาเห็นประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ
ผู้เป็นศาสนิกชนย่อมหวงแหนที่จะมิให้ผู้ใดมาทำลายหรือทำความมัวหมองให้แก่พุทธศาสนาที่ตนนับถือ โจทก์นี้เป็นพระภิกษุผู้มีอาวุโสประกอบด้วยสมณศักดิ์และมีตำแหน่งสำคัญในทางศาสนา โจทก์ย่อมอยู่ในฐานะอันเป็นหลักสำคัญของศาสนิกชนที่จะติดต่อปฏิบัติศาสนกิจด้วยความเลื่อมใสศรัทธา แต่โจทก์กลับไปทำทางลามกกับสตรีเพศอันถือว่าเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงของผู้อยู่ในสมณเพศ เป็นทางนำมาซึ่งความมัวหมองและเสื่อมเสียแก่พุทธศาสนาอย่างร้าย แม้แต่ตอนที่พวกจำเลยพากันไปเป็นสักขีพยานรู้เห็นในการประพฤติชั่วช้าของโจทก์ ก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการที่จะกำจัดผู้ทำมัวหมองและเสื่อมเสียแก่พุทธศาสนา เมื่อจำเลยมาพิสูจน์ความจริงให้ประจักษ์ต่อศาลได้อีก ก็ย่อมเป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น ทั้งเป็นประโยชน์แก่ผู้คนทั่วไปที่จะได้ไม่มัวหลงเคารพเลื่อมใสโจทก์ต่อไป ศาลฎีกาได้พร้อมกันประชุมใหญ่แล้วเห็นว่า การพิสูจน์ความจริงของจำเลยย่อมเป็นประโยชน์แก่ประชาชน จำเลยจึงขอพิสูจน์ความจริงได้ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share