แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยสมคบกันวิ่งราวทรัพย์ผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 297, 63 จำคุก 3 ปี ศาลอุทธรณ์ แก้ว่า จำเลยผิดเพียงฐานสมรู้ และแก้โทษเป็นจำคุก 2 ปี ดังนี้เป็นการแก้บทและแก้กำหนดโทษ จึงเป็นการแก้ มาก คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้./
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยทั้งสองสมคบกันลักสร้อยคอทองคำกับล๊อกเก๊ตราคา ๓๒๐ บาท ของนางสาวชูชื่น โดยจำเลยที่ ๑ ใช้กิริยาฉกฉวยเอาสร้อยซึ่งสรวมอยู่ที่คอพาหนีไปต่อหน้า แล้วกระโดดขึ้นจักรยานสามล้อ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ขับขี่และ เตรียมการคอยที่อยู่แล้ว พาจำเลยที่ ๑ หนีไป ฯลฯ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๙๗, ๖๓ และให้คืนของ กลาง
จำเลยที่ ๑ รับสารภาพ
จำเลยที่ ๒ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๙๗, ๖๓ จำคุกคนละ ๓ ปี ลดโทษจำเลยที่ ๑ ตาม มาตรา ๕๘ ทวิ และ ๕๙ คงเหลือโทษจำคุก ๑ ปี.
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้สมรู้จึงพิพากษาแก้ให้ลดโทษจำเลยที่ ๒ เหลือโทษจำคุก ๒ ปี นอกนั้นคงพิพากษา ยืน.
โจทก์ฝ่ายเดียวฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่าจะชี้ขาดว่าจำเลยที่ ๒ เป็นตัวการยังไม่ถนัด จึงพิพากษายืน.