คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนไว้โดยชอบ ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานยันจำเลยได้ และศาลย่อมอาศัยคำรับสารภาพของจำเลยชั้นสอบสวนประกอบคำพยานบุคคลของโจทก์ได้
การกระทำของจำเลยที่ฟังได้ว่าจำเลยใช้ปืนยิงขึ้นฟ้าเพื่อขู่เจ้าพนักงานตำรวจไม่ให้ไล่จับจำเลยต่อไปนั้น เป็นการกระทำส่วนหนึ่งตามฟ้องของโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยบังอาจต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงานโดยใช้อาวุธปืนยิง แม้จะยังไม่ถึงขั้นยิงทำร้ายเจ้าพนักงานโดยเจตนาฆ่า ก็หาใช่นอกข้อหาคำฟ้องของโจทก์ไม่ เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ยังลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงนั้นได้
การที่จำเลยยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อขู่ตำรวจมิให้ไล่จับกุมจำเลยต่อไปนั้น เป็นการขัดขวางเจ้าพนักงานมิให้จับกุมจำเลย หรือมิให้ปฏิบัติการตามหน้าที่ ตามความหมายในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 บัญญัติเป็นความผิดแล้ว ต้องลงโทษตามมาตรา 140.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพกพาอาวุธปืนสั้นติดตัวไปในงานฉลองศาลาวัดอันเป็นการกระทำผิดกฎหมาย สิบตำรวจเอกประกอบกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเข้าทำการจับกุมตรวจค้น กลับบังอาจต่อสู้ขัดขวาง โดยจำเลยใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน และกอดปล้ำต่อสู้เจ้าพนักงาน โดยจำเลยมีเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนไม่ถูกเจ้าพนักงาน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๙,๑๔๐,๑๓๘,๘๐ ริบปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นไม่เชื่อว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงเพื่อต่อสู้ขัดขวางหรือเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธณ์เชื่อว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงในการที่เจ้าพนักงานตำรวจทำการจับกุมจำเลย แต่จำเลยยิงขึ้นฟ้าเพื่อขู่เจ้าพนักงานตามคำให้การขั้นสอบสวนของจำเลยเท่านั้น จำเลยไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน การกระทำของจำเลยเป็นการขัดขวางเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๐ ให้จำคุกจำเลย ๓ เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์เอาคำรับสารภาพของจำเลยชั้นสอบสวนเป็นหลักวินิจฉัยชี้ขาดลงโทษจำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ศาลฎีกา เห็นว่า คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนไว้โดยชอบ ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานยันจำเลยในการพิจารณาคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๓๔ และศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาฟังคำเบิกความของพยานโจทก์ว่าจำเลยใช้ปืนยิงขัดขวางเจ้าพนักงานมิให้ทำการจับกุมจำเลยโดยอาศัยคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ให้การว่า จำเลยยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อขู่ขวัญเจ้าพนักงานตำรวจไม่ให้ไล่จับจำเลย เป็นหลักฐานประกอบคำพยานบุคคลของโจทก์ หาใช่อาศัยคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยแต่อย่างเดียวชี้ขาดว่าจำเลยกระทำผิดไม่
จำเลยฎีกาต่อไปอีกว่า หากจะฟังดังศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อขู่ตำรวจจะได้ไม่ไล่จับจำเลยต่อไป ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๘ และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกคำฟ้อง เพราะโจทก์ฟ้องระบุว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานนั้นเองเป็นการต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงาน ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้ว่าจำเลยใช้ปืนยิงขึ้นฟ้าเพื่อขู่เจ้าพนักงานตำรวจไม่ให้ไล่จับจำเลยต่อไปนั้น เป็นการกระทำส่วนหนึ่งตามฟ้องของโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยบังอาจต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงานโดยเจตนาฆ่า ก็หาใช่นอกข้อหาคำฟ้องของโจทก์ไม่ เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ยังลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๙๒ และการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๘ อันจะต้องลงโทษตามมาตรา ๑๔๐ เพราะการที่จำเลยยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อขู่ตำรวจมิให้ไล่จับกุมจำเลยต่อไปนั้น เป็นการขัดขวางเจ้าพนักงานมิให้จับกุมจำเลยหรือมิให้ปฏิบัติการตามหน้าที่ตามความหมายในมาตรา ๑๓๘ บัญญัติเป็นความผิดไว้แล้ว
พิพากษายืน.

Share