คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 221/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินเดิมของผู้ร้อง และโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านทั้งผู้ร้องแม้จะอุทธรณ์ แต่ก็มิได้คัดค้านในข้อนี้ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทมิใช่ของผู้ร้องจึงเป็นการไม่ชอบ
หนี้อันเกิดจากการที่สามีทำละเมิด มิใช่หนี้ร่วมอันภริยาจะต้องรับผิดด้วย เจ้าหนี้ของสามีจึงไม่มีสิทธิยึดทรัพย์ที่เป็นสินเดิมของภริยา(อ้างฎีกาที่ 1250/2493 และที่ 1059/2495).

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เพราะเหตุจำเลยแกล้งจุดไฟไหม้สวนยางของโจทก์ และโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินบ้าน ๑ แปลง เรือน ๑ หลัง และที่ดินสวนยาง ๑ แปลง อ้างว่าเป็นของจำเลยผู้ร้องจึงได้ร้องว่าที่ดินทั้งสองแปลงเป็นสินเดิมของผู้ร้องที่ ๑ และเรือนเป็นของผู้ร้องที่ ๒ ขอให้ปล่อยทรัพย์นี้
โจทก์ให้การว่าทรัพย์ที่นำยึดเป็นของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินทั้งสองแปลงเป็นสินเดิมของผู้ร้องที่ ๑ แต่ถือว่าเป็นทรัพย์บริคณห์กันอยู่ระหว่างจำเลยและผู้ร้องที่ ๑ ผู้ร้องที่ ๑ จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์นี้ ส่วนเรือนนั้นฟังว่าไม่ใช่ของผู้ร้องที่ ๒ จึงให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามที่ผู้ร้องนำสืบมา ไม่เชื่อว่าทรัพย์สินพิพาทเป็นของผู้ร้อง พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วว่าที่ดินพิพาท ๒ แปลง เป็นสินเดิมของผู้ร้องที่ ๑ โจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้าน และผู้ร้องก็มิได้อุทธรณ์คัดค้านในข้อนี้ ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทนั้นไม่ใช่ของผู้ร้องที่ ๑ จึงเป็นการไม่ชอบ และการกระทำละเมิดของจำเลยนั้นเป็นการกระทำของจำเลยโดยเฉพาะ ผู้ร้องที่ ๑ มิได้ร่วมกระทำด้วย จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยในค่าเสียหายที่จะต้องชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์ไม่มีสิทธินำยึดที่ดินอันเป็นสินเดิมของผู้ร้องที่ ๑ ได้ อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๕๐/๒๔๙๓ และที่ ๑๐๕๙/๒๔๙๕
ส่วนเรือนพิพาทฟังว่า ไม่ใช่ของผู้ร้องที่ ๒ จึงพิพากษาแก้ ให้ปล่อยที่ดินพิพาททั้งสองแปลง นอกนั้นพิพากษายืน

Share