แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองร่วมวงเสพสุรากัน จำเลยที่ 2 พูดว่าจะทำร้ายผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 ไปหาผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 ก็ตามไปด้วย และยืนอยู่ด้วย เป็นการสมทบกำลังให้จำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 ถือมีดตรงเข้าจะแทงผู้เสียหายและวิ่งไล่แทงผู้เสียหายซึ่งยืนห่างในระยะ 1 วา สามารถจะทำร้ายได้ หากผู้เสียหายโดดหนีและวิ่งขึ้นเรือนได้ทัน จึงแทงไม่ได้สมความตั้งใจ เป็นความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกาย จำเลยที่ 1 วิ่งไล่ไปด้วย ถือว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดร่วมกัน
การกระทำที่ก่อให้เกิดความกลัวหรือตกใจรวมอยู่เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายแล้ว และเป็นความผิดที่มีโทษเบากว่า จึงลงโทษฐานพยายามทำร้ายร่างกายอันเป็นบทหนักกว่าแต่บทเดียว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองบังอาจร่วมกันใช้มีดปลายแหลมวิ่งไล่พยายามทำร้ายร่างกายนายมั่น สนั่นในระยะกระชั้นชิด หากแต่จำเลยกระทำไปไม่ตลอด โดยนายมั่นวิ่งหนีจึงไม่ถูกจำเลยแทง การกระทำของจำเลยทำให้นายมั่นเกิดความกลัวและตกใจโดยการขู่เข็ญพยายามทำร้ายร่างกายของจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๕,๘๐,๘๓,๓๙๒
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการสมคบกันพยายามทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย และทำให้นายมั่นตกใจกลัวจะถูกทำร้ายด้วย พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๕, ๘๓,๘๐,๓๙๒ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๙๕ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๖ เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ ๒ วิ่งไล่ทำร้ายผู้เสียหายจริง ส่วนจำเลยที่ ๑ นั้นไม่พอฟังว่าได้ร่วมกระทำผิดด้วย และโจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาสืบ จึงทราบไม่ได้ว่าในการที่ผู้เสียหายถูกไล่ทำร้ายนั้น ได้เกิดความกลัวหรือตกใจดังโจทก์กล่าวในฟ้อง พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ คงมีผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๕,๘๐ ให้จำคุก ๖ เดือน
โจทก์ฎีกาให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ ๑ เป็นคนประจำรถที่จำเลยที่ ๒ ขับ ตอนเช้าวันเกิดเหตุ คนรถของบริษัทเดียวกับรถที่จำเลยที่ ๒ ขับ ถูกคนขับรถสองแถวแทง ผู้เสียหายเป็นคนประจำรถสองแถวคันนั้น ครั้นตอนเย็น จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้ร่วมวงเสพสุรากันที่รถของตน จำเลยที่ ๒ พูดขึ้นในวงว่าจะทำร้ายผู้เสียหาย เมื่อจำเลยที่ ๒ ไปหาผู้เสียหายที่เรือนนายไม้ จำเลยที่ ๑ ก็ตามไปด้วย ตามพฤติการณ์จำเลยที่ ๑ ย่อมรู้ว่าจำเลยที่ ๒ จะไปทำร้ายผู้เสียหายตามที่พูดไว้ การที่จำเลยที่ ๒ ตามจำเลยที่ ๑ ไป และยืนอยู่ด้วยในขณะที่เรียกผู้เสียหายลงมาจากเรือนนายไม้ แสดงให้เห็นในตัวว่าเป็นการสมทบกำลังให้แก่ฝ่ายจำเลยที่ ๒ เมื่อจำเลยที่ ๒ ถือมีดตรงเข้าไปจะแทงผู้เสียหายและวิ่งไล่แทง จำเลยที่ ๑ ยังวิ่งไล่ตามไปด้วย ตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าร่วมกับจำเลยที่ ๒ ในการที่จะแทงผู้เสียหาย ไม่เช่นนั้นจะวิ่งไล่ตามผู้เสียหายไปด้วยเหตุใด ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลชั้นต้นที่ฟังว่าจำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ในการกระทำผิดนี้ด้วย การกระทำที่จำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๒ นั้น จำเลยที่ ๒ ถือมีดตรงเข้าจะแทงผู้เสียหายซึ่งยืนในระยะ ๑ วา สามารถที่จะทำร้ายได้หากนายมั่นโดดหนีและวิ่งหนีขึ้นเรือนได้ทัน จึงแทงนายมั่นผู้เสียหายไม่ได้สมความตั้งใจ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามทำร้ายตามที่โจทก์ฟ้อง
ส่วนที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่พอฟังเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๙๒ ฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจ โดยการขู่เข็ญอันเป็นความผิดลหุโทษนั้น ศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องด้วย แม้จะไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาสืบว่าเกิดความกลัวหรือตกใจในการทำของจำเลย กิริยาอาการและคำพูดที่นายมั่นผู้เสียหายแสดงออกโดยพูดว่า ผมไม่สู้และวิ่งหนีไป ในเมื่อนายศิริถือมีดตรงเข้ามาจะแทง แสดงว่าผู้เสียหายกลัวภัยที่จะเกิดขึ้นแก่ตนแล้ว แต่ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำที่ก่อให้เกิดความกลัวหรือตกใจในเบื้องต้นรวมอยู่เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายแล้ว และเป็นความผิดที่มีโทษเบากว่า จึงลงโทษฐานพยายามทำร้ายร่างกายอันเป็นบทหนักกว่าแต่บทเดียว
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ลงโทษนายเง้าจำเลยที่ ๑ ด้วย โดยปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๕,๘๐,๘๓ และกำหนดโทษจำคุก ๖ เดือน เท่ากับนายศิริจำเลยที่ ๒ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.