คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 971/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จับจองและครอบครองที่ดินมือเปล่า 100 ไร่เศษ ต่อมาจำเลยเข้าไปอยู่ในที่ของโจทก์แล้วไม่ยอมออกไป อ้างว่าเป็นที่ที่นิคมสร้างตนเองแบ่งให้จำเลย 12 ไร่ และจำเลยยังได้บุกเบิกออกไปอีก 20 กว่าไร่ ครั้งเมื่อโจท์ทราบว่าที่ไม่อยู่ในเขตของนิคม โจทก์ก็ร้องต่ออำเภอขอที่คืน อำเภอเรียกไปทำการเปรียบเทียบ โจทก์จำเลยตกลงกันว่าจำเลยตกลงเอาที่ดินเพียง 12 ไร่ นอกนั้นเป็นของโจทก์ทั้งหมด อำเภอได้บันทึกข้อตกลงนี้ให้โจทก์จำเลยลงชื่อไว้ ถึงแม้ข้อตกลงนี้จะระบุให้ชัดว่าที่พิพาทอยู่ตอนไหน คู่กรณีฝ่ายใดได้ที่บริเวณไหน การรังวัดจะต้องทำอย่างไร แต่เรื่องนี้โจทก์จำเลยเข้าใจดีว่าที่พิพาทคือที่ที่จำเลยอ้างว่านิคม ฯ แบ่งให้จำเลย 12 ไร่ และจำเลยก็ได้นำชึ้ไว้ในแผนที่กลางแล้ว บันทึกการเปรียบเทียบนี้จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยจะอ้างว่าไม่อาจจะระงับข้อพิพาทได้นั้นหาได้ไม่ และผลของสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นย่อมทำให้การเรียกร้องของจำเลยซึ่งได้ยอมสละนั้นสิ้นไป ทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญาเท่านั้น เมื่อโจทก์มาฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยจะอ้างว่าขาดอายุความแล้ว โดยจะให้นับระยะเวลาตามที่จำเลยครอบครองที่พิพาทมาดังนี้
หาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณ ๓๐ ปีเศษ โจทก์กับสามีได้จับจองโก่นสร้างที่ดินเป็นเนื้อที่ ๑๐๐ ไร่เศษ แล้วแยกเป็น ๒ แปลง แปลงที่หนึ่งเนี้ที่ ๖๐ ไร่เศษ แปลงที่สอง ๔๐ ไร่เศษ ต่อมาโจทก์มอบให้ผู้อื่นปกครองแทนจนปัจจุบัน เมื่อ ๕ ปีมานี้จำเลยได้ขออาศัยนายประไพผู้ปกครองที่แทนโจทก์ทำไร่ปลูกข้าวในที่ดินแปลงเลข ๒ เนี้อที่ ๕ – ๖ ไร่ แล้วเจ้าพนักงานนิคมสร้างตนเองได้มาวัดที่ดินแปลงที่ ๒ ให้จำเลย ๑๒ ไร่ โดยอ้างว่าที่ดินโจทก์อยู่ในเขตของนิคม ต่อมาจำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินแปลงเลข ๑ อีก ๓ ไร่ เศษ โจทก์ร้องเรียนต่ออำเภอ อำเภอเรียกจำเลยมสอบสวน โจทก์กับจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมกันตามคำเปรียบเทียบของอำเภอว่าจำเลยจะเอาที่ดินเพียง ๑๒ ไร่ เฉพาะที่จำเลยครอบครองและปลูกบ้านเท่านั้น ที่ดินนอกนั้นจำเลยไม่เกี่ยวข้อง ยอมให้เป็นของโจทก์ทั้งหมด ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาโจทก์จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำเปรียบเทียบของอำเภอ ยอมให้เจ้าพนักงานเข้าไปรังวัดปักเขต ห้ามจำเลยกับบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ เมื่อ ๑๒ ปีมานี้ จำเลยเข้าเป็นสมาชิกของนิคม ฯ ผู้ปกครองนิคมแบ่งที่ดินให้จำเลย ๑๒ ไร่ จำเลยได้บุกเบิกออกไปอีกได้เนื้อที่ ๒๐ ไร่เศษ จำเลยได้ปกครองที่พิพาทและนอกพิพาทมา ๑๐ ปีเศษแล้ว จำเลยได้ลงชื่อในบันทึกของอำเภอเนื่องจากความเข้าใจผิดและถูกขู่เข็ญ คดีของโจทก์ขาดอายุความตั้งแต่ก่อนมาอำเภอ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อตกลงของโจทก์จำเลยเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐,๘๕๒ และคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยได้ที่ดิน ๑๒ ไร่ในเขตเส้น ธ.น.บ.ข. ในแผนที่กลาง นอกนั้นห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อ ๓๐ ปีมานี้ โจทก์กับสามีได้จับจองที่ ๑๐๐ ไร่ แล้วแผ้วถางทำประโยชน์แบ่งเป็น ๒ แปลง แปลงตะวันตก ๖๐ ไร่ ตะวันออก ๔๐ ไร่ แปลงตะวันออกนี้โจทก์กับสามีปกครองเองและให้ผู้อื่นเข้าทำจนถึงนายประไพ ตอนที่นายประไพทำนั้นพี่ชายจำเลยได้ขอทำไร่ข้าวตรงกลางที่ แล้วพี่ชายจำเลยพาจำเลยเข้าไปปลูกขนำอยู่ในที่ที่นายพร้อมทำไร่ข้าว แล้วจำเลยไม่ยอมออกไป อ้างว่าเป็นที่ที่นิคมแบ่งให้จำเลย ๑๒ ไร่ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๒ นายอำเภอบอกว่าที่ของนิคมมาไม่ถึงที่ของโจทก์ โจทก์จึงยื่นคำร้องขอที่ดินคืนจากจำเลย ปลัดอำเภอเรียกจำเลยมาทำการเปรียบเทียบ โจทก์จำเลยตกลงกันว่าจำเลยตกลงเอาที่ดินเพียง ๑๒ ไร่ นอกนั้นเป็นของโจทก์ทั้งหมด ปลัดอำเภอได้บันทึกข้อตกลงนี้ไว้ ให้โจทก์จำเลยลงชื่อในข้อตกลง ปรากฎตามเอกสาร จ.๑ ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา
เห็นว่า ถึงแม้ในสัญญาจะมิได้ระบุให้ชัดแจ้งว่าที่พิพาทอยู่ตอนไหน คู่สัญญาฝ่ายใดได้ที่บริเวณไหน การรังวัดจะต้องทำอย่างไร แต่เรื่องนี้โจทก์จำเลยเข้าใจดีว่าที่พิพาทคือที่ที่จำเลยอ้างว่านิคมสร้างตนเองแบ่งให้จำเลย ๑๒ ไร่ และจำเลยก็ได้นำชี้ไว้ในแผนที่กลางแล้ว เอกสาร จ.๑ นี้จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ ข้อที่จำเลยโต้เถียงว่าไม่อาจจะระงับข้อพิพาทได้นั้นจึงไร้สาระ
ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าคดีโจท์ขาดอายุความนั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยยอมให้ที่ดินที่จำเลยโก่นสร้างเกินกว่า ๑๒ ไร่เป็นของโจทก์แล้ว ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นย่อมทำให้การเรียกร้องของจำเลยซึ่งได้ยอมสละนั้นสิ้นไป ทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญาเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๒ โจทก์มาฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความ คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน.

Share