แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เคยฟ้องจำเลยขอให่ศาลแสดงว่าที่ดินที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทต่อไปแล้วโจทก์มาฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายในระหว่างที่เป็นความกันในคดีก่อนว่า จำเลยได้ครอบครองและเก็บผลประโยชน์จากที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นของโจทก์ไปอีก ได้
ย่อยาว
เดิมโจทก์ฟ้องนายชดสามีจำเลย  ขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์  ห้ามนายชดเข้าเกี่ยวข้อง  ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์  ห้ามนายชดเข้าเกี่ยวข้องแล้วโจทก์จึงมาฟ้องเป็นคดีนี้ว่า  ระหว่างเป็นความกันในคดีก่อน  นายชดได้เข้าครอบครองที่พิพาท  ได้ทำนาและเก็บผลหมากมะพร้าว  ตัดจาก  โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินไม่ได้  ต้องขาดประโยชน์ไป  ๓๒๐๐  บาท  บัดนี้นายชดตายแล้ว  จำเลยเป็นผู้รับมรดกจึงขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยฟ้องเรียกค่าเสียหายไม่ได้  ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ  ให้จำเลยผู้รับมรดกนายชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่าระหว่างเป็นความกันในคดีก่อน  นายชดเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ฝ่ายเดียวในทีพิพาท  เมื่อศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์  การที่นายชดเข้าครอบครองเก็บผลประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ไป  นายชดก็ต้องชดใช้ให้โจทก์
จึงพิพากษายืน

