คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6320/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายเห็นคนร้ายโดยอาศัยแสงเทียนเล่มเล็ก ๆ เล่มเดียวซึ่งไม่น่าจะมีแสงสว่างเพียงพอในที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายไม่เคยเห็นหน้าและไม่รู้จักจำเลยมาก่อนไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะจำจำเลยได้ว่าเป็นคนร้าย ดังนั้น การเห็นภาพถ่ายจำเลยและชี้ตัวจำเลยว่าเป็นคนร้ายจึงไม่อาจรับฟังสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายได้กรณีมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 340,340 ตรี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 1,600 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 340 วรรคสอง, 340 ตรี จำคุก 18 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 1,600 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าจำเลยร่วมเป็นคนร้ายปล้นทรัพย์ผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์มีประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุขณะคนร้ายปล้นทรัพย์ 2 ปาก คือนางสมหมาย วิชัยดิษฐ์ ผู้เสียหายและนายเสนอ สามีผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายเบิกความว่า ขณะผู้เสียหายกำลังนอนหลับในห้องพักมีคนร้าย4 คน พังประตูเข้ามาในห้อง คนร้ายคนหนึ่งถือเทียนขนาดนิ้วก้อย จำเลยเป็นคนร้ายที่ไม่ได้สวมหมวกไหมพรมและถืออาวุธปืน คนร้ายถามหาทรัพย์สินกับผู้เสียหายผู้เสียหายปฏิเสธว่าไม่มี จำเลยเข้ามาตบตีและใช้มือบีบนมผู้เสียหาย ผู้เสียหายไปเอาเงินจากตู้เสื้อผ้า 800 บาท ให้คนร้ายไปและคนร้ายได้หยิบนาฬิกาข้อมือ 1 เรือน ที่วางไว้บนที่นอนไปด้วย ผู้เสียหายเห็นจำเลยโดยอาศัยแสงเทียน ส่วนนายเสนอเบิกความว่ามีคนร้าย 4 คน พังประตูเข้ามาในบ้านคนร้ายคนแรกสวมหมวกไหมพรมคลุมหน้าถืออาวุธปืนจี้ศีรษะพยาน คนที่สองเดินไปที่ผู้เสียหาย คนที่สามถือเทียนขนาดนิ้วนางเดินเข้ามาไม่มีอะไรปิดบังใบหน้า คนที่สี่สวมหมวกไหมพรมแล้วคนร้ายช่วยกันจับพยานมัดมือมัดเท้าบังคับให้นอนลง พยานได้ยินเสียงคนร้ายตบตีผู้เสียหายบังคับให้บอกที่ซ่อนทรัพย์ พยานจำหน้าคนร้ายทั้ง 4 คนไม่ได้ พยานโจทก์จึงมีผู้เสียหายเพียงปากเดียวที่เบิกความยืนยันว่าได้เห็นจำเลยว่าเป็นคนร้าย เห็นว่า ที่เกิดเหตุเป็นห้องพักคนงานในสวนยาง ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.2 และบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีอาญาเอกสารหมาย จ.12 ไม่ปรากฏมีไฟฟ้าใช้ ตามคำพยานโจทก์ได้ความว่าคนร้ายถือเทียนขนาดนิ้วมือคน จุดให้แสงสว่างและเข้าไปปล้นทรัพย์ในห้องผู้เสียหาย และผู้เสียหายเห็นจำเลยเป็นคนร้ายโดยอาศัยแสงเทียนที่คนร้ายถือห้องเกิดเหตุจึงเป็นที่มืดแสงเทียนจากเทียนขนาดดังกล่าวจึงไม่น่าจะสว่างเพียงพอที่จะทำให้เห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจนทุกคน ที่ร้อยตำรวจโทสอาด วงศ์เวียงจันทร์ ผู้จับกุมจำเลยเบิกความว่าได้เอาภาพถ่ายคนร้ายที่เคยปล้นทรัพย์ในเขตอำเภอท้ายเหมืองให้ผู้เสียหายดู ผู้เสียหายชี้ภาพถ่ายจำเลยว่าเป็นคนร้าย พยานจึงแจ้งให้ปลัดจังหวัดพังงาเรียกจำเลยมาพบที่ห้องทำงาน ผู้เสียหายเห็นจำเลยแล้วชี้ตัวว่าเป็นคนร้าย แต่จำเลยให้การปฏิเสธในชั้นจับกุมตามบันทึกจับกุมเอกสารหมาย จ.5 และในชั้นสอบสวนว่าไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาเห็นว่า ผู้เสียหายเห็นคนร้ายโดยอาศัยแสงเทียนเล่มเล็ก ๆเล่มเดียว ซึ่งไม่น่าจะมีแสงสว่างเพียงพอในที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายไม่เคยเห็นหน้าและไม่รู้จักจำเลยมาก่อน จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะจำจำเลยได้ว่าเป็นคนร้าย ดังนั้น การเห็นภาพจำเลยและชี้ตัวจำเลยว่าเป็นคนร้ายจึงไม่อาจรับฟังสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายได้ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยร่วมเป็นคนร้ายปล้นทรัพย์จึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาลงโทษจำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share